Disposable Me / (กล้อง)ใช้แล้วทิ้ง : คนไร้บ้าน
[Disposable Me / (กล้อง) ใช้แล้วทิ้ง] เป็นซีรีย์ที่เอากล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้งไปฝากให้คนแปลกหน้าถ่าย เพื่อเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเขา ที่แม้แต่เราเองก็อาจจะนึกไม่ถึง

Roll #1: [คนไร้บ้าน]

เขาใช้ชีวิตกันยังไง รู้สึกยังไง มีแนวคิดยังไง
เมื่อสงสัยก็เลยลองเอากล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้งไปฝากให้คนไร้บ้านถ่ายหนึ่งวัน
เพราะคิดว่าคงไม่มีใครถ่ายทอดชีวิตของคนไร้บ้านได้ดีและจริงใจมากไปกว่าคนไร้บ้านด้วยกันเอง

“ผมเคยมีห้องเช่าอยู่ แต่พอเจอ Covid-19 แบบนี้ก็ไม่มีงาน ต้องมานอนแถวนี้ตามทาง จะอาบน้ำอะไรก็ลำบาก ผมพูดตรง ๆ บางทีตำรวจก็ไล่ผม ก็เลยไปหานอนในซอยเอา”

หนึ่ง, คนไร้บ้าน, 52 ปี

พี่หนึ่งในชุดลำลองสบาย ๆ พูดกับผมด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะหยิบน้ำขวดแช่เย็นที่ผมซื้อมาฝากกระดกเข้าปาก
อึก ๆ ๆ อย่างกระหายน้ำ เราสบตากันอีกแว้บนึงก่อนพี่่หนึ่งจะเริ่มเล่าเรื่องชีวิตหลังตกงานจนต้องมาเป็นคนไร้บ้านให้ฟัง

“ก็เดินอยู่ระแวกนี้แหละ รอบ ๆ จากตรงนี้ไปถึงเสาชิงช้า ก็เดินไปทั่ว เก็บขวดไปเรื่อย ๆ”
“ครั้งแรกที่ต้องมานอนข้างถนนคือ กลัว หวาดระแวงมาก กลัวคนจะมาทำร้ายเรา

ถ้าปวดท้องตอนกลางคืนก็ไปเข้าที่ปั๊มน้ำมัน ผมชอบนอนใกล้ ๆ ปั๊ม แล้วก็ชอบนอนคนเดียว

นอนรวมเป็นกลุ่มก็ฟังเหมือนจะดี แต่ก็ชอบมีขี้เมาเดินผ่าน หรือคนอื่นส่งเสียงดัง
แล้วคนที่อยู่ใกล้ตัวผมนี่ก็ไม่ใช่จะดีกับผมตลอดหรอก บางทีพวกกันเองก็ขโมยของผมตอนหลับก็มี

อีกอย่างบางทีเราไปคนเดียวก็ไปขอนอนหน้าบ้านคนอื่นเค้า เค้าก็ไม่ว่า แต่ถ้าไปหลายคนมันก็ดูไม่ดี เค้าก็ไม่ให้นอน”

“ผมคิดในใจว่าผมจะไม่ใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปหรอก” (ร้องไห้)
“สมัยทำก่อสร้างได้วันละ 350 บาท มันเหนื่อยแต่ก็ต้องสู้ เพราะชีวิตเรามันไม่มีกิน ทาสีทาอะไรผมทำได้หมด วัดบวรฯนี่ก็เคยไปทาสี ไปก่อ ไปฉาบ ช่วยเขาอยู่ แต่ก็อยู่ที่ว่าลูกพี่จะให้ทำอะไร

ฉันจะพูดความจริงเน้อ อู้แต๊ ๆ ผมเป็นคนเหนือ คนเจียงใหม่ อู้แต๊ ๆ บ่ขี้จุ๊เด้อ บ่เคยติดคุกขึ้นศาลหรอก ผมไม่ใช่นักโทษ ผมไม่ปล้นไม่จี้ แต่แค่ตอนหลังเจอ Covid-19 ผมบ่มีงาน เลยต้องมานอนเร่ร่อน

มีนิ้วมือสิบนิ้ว ผมจะไม่ขอทานไปตลอดหรอก พ่อแม่บอกว่าเกิดมาครบสมบูรณ์ไม่พิการอย่าไปขอทานเค้า
แต่ลูกก็ต้องมาขอทาน (สะอื้น)

ผมเคยทำงานก่อสร้างฝีมือผมมี ผมได้ค่าแรงน้อยผมไม่เสียใจหรอก
ผมก็อยากกลับไปทำงานอยู่แต่มันไม่มีให้ทำ ไม่อยากอยู่อย่างงี้หรอก จริง ๆ ผมอาย อายแก่ใจ อายแก่เพื่อน แก่พี่ แก่น้อง แต่ผมไม่มีจะกิน ผมไม่ปล้นไม่จี้ใครหรอก ผมก็มีอยู่แค่นี้”

พี่หนึ่งอดีตคนงานก่อสร้างพูดภาษากลางสลับกับภาษาคำเมืองกับผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาปนเศร้าปนมีความหวัง ก่อนที่เราจะแยกจากกัน

หลังล้างและสแกนฟิล์มเสร็จ ผมสะดุดตากับภาพพี่คนไร้บ้านคนนี้ที่มีถุงห้อยติดกับหน้าท้อง

ดูเหมือนว่าจะเป็นโรคมะเร็งลำไส้หรือไม่ก็ลำไส้อุดตัน
ผมรู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็เข้าถึงระบบสาธารณสุขได้

แต่ก็แอบสงสัยไม่ได้ว่า พี่เค้าจะทำความสะอาดถุงได้ถูกสุขลักษณะหรือเปล่า

“ตอนนี้ตาฉันบอดมาปีนึงแล้ว เธอเห็นมั้ยตามันจะตกข้างนึง ข้างนี้เห็น แต่ข้างนี้ไม่เห็นแล้ว มันเป็นเวรกรรมของฉันอะหนูเอ๊ย จู่ ๆ มันก็เป็น ไม่รู้เพราะกินเหล้าเยอะเปล่า

ลูกชายฉันติดคุกไปคนนึง ยาบ้า 400 เม็ดตอนแรกมันเป็นเชฟ ออกรถมอไซค์ หัวสูง อยากได้ฟอร์ด
ก็ได้ฟอร์ดตามใจ ฟอร์ดในคุกคลองเปรม เข้าคุกไป 4 ปีแล้ว ยังไม่ออกมาเลย”

หญิง (นามสมมติ), คนไร้บ้าน, 49 ปี

“ตอนแรกฉันก็ทำงานปกติแหละ แต่ว่ามาติดเพื่อนติดฝูงติดเหล้า เก็บขวดขายได้เงินนิดหน่อยก็เอามาลงขวดเหล้าหมด

กินเหล้าครั้งแรกตอนอายุ 12 เพราะอยากลอง เมื่อก่อนขวดละ 20 กว่าบาท แม่ฉันให้ค่าขนมวันละ 5 บาท ก็เก็บเงินไปเรื่อย ๆ แค่ห้าวันก็ได้กินแล้ว

ฉันเป็นโรคหืดหอบ แต่นิสัยไม่ดีก็กินมาเรื่อย ๆ ใครให้ก็กิน ใครเลี้ยงก็กิน ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบ รู้ตัวอีกทีคือถ้าไม่ได้กินเหล้าก็จะตัวสั่น

ฉันน่ะเสียคนเพราะเหล้า อย่าโกรธหรือรังเกียจฉันนะ เรามีเงินเท่าไหร่เรากินเหล้าหมด เราลงขวดหมดอะ”

 

ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือโกรธพี่เขาเลย ในเมื่อร่างกายเป็นของใครของมัน เจ้าของควรเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดกับร่างกายตัวเอง ต่อให้จะเสียคน เงินหมด หรืออะไรก็ตาม

มองอีกมุม ผมคิดว่าทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงความสุขในขอบเขตของกฎหมาย
หรือเหล้าขาวคือความสุขชนิดเดียวที่พี่เขาพอจะเข้าถึงได้?

ยังไงซะผมก็พูดปราม ๆ เรื่องดื่มจัดกับพี่เขา ก็คงได้แค่แนะนำ แต่คงไม่บังคับ…

“บางทีฉันก็นอนตรงนี้ ปูเสื่อนอน บางทีตำรวจก็มาไล่ให้ไปนอนในซอย แต่เค้าไม่จับนะ แค่ให้ไปนอนหลบๆ ในซอยเฉย ๆ”
“เมื่อก่อนฉันเคยเป็นผู้หญิงหากิน ได้เงินมาก็เอามาซื้อเหล้ากินหมด”
“เวลามีคนเดินผ่านแล้วเค้าให้เรา เราก็ดีใจนะ รู้สึกขอบคุณ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักชื่อคุณ แต่ก็อวยพรให้คุณปลอดภัย”
“ไอ้หนุ่ม ที่จริงฉันก็มีบ้านมีช่องอยู่ แต่นิสัยไม่ดี ติดเหล้า บ้านช่องไม่กลับ ลูกชายฉันเป็นเชฟเช่าห้องอยู่ทองหล่อ ลูกชายก็ไม่รู้ว่าฉันอยู่นี่ เจอลูกครั้งสุดท้ายคือช่วงกลางเดือนที่แล้ว

บางทีฉันกลับบ้านไปไม่เจอลูกชาย ฉันเจอแต่ห้องเปล่า ๆ ลูกชายอาจจะไปเที่ยว
แต่ก่อนเคยให้เงินแม่เยอะแยะ ทุกวันนี้แม่ไปเค้าก็ให้เงิน พาไปซื้อของ เสื้อผ้าเสื้อใน แต่ฉันทำตัวไม่ดี
เค้าไม่รู้ว่าทำตัวแบบนี้ ฉันหลอกลูกว่าฉันไปต่างจังหวัง

เบิ่ง เจ้าจะเห็นลูกฉัน กด Facebook เลย
นี่แหละลูกข้อย เป็นจั๊งได๋ ขอข้อยเบิ่งลููกข้อยหน่อย นั่นไงเมียเค้า อย่าบอกเค้านะ ขอเบิ่งเมียเขาแน้
นั่นรถเขา แม่นบ่ ขอดู ขอจับ(มือถือ)หน่อย”

สุดท้ายแล้วหลังจากได้เข้าไปสัมผัสพูดคุย
ผมคิดว่าเราไม่ควรไปตัดสินใคร หรือยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือใครซี้ซั้ว เพราะบางคนอาจจะอยากได้ความช่วยเหลือ แต่บางคนก็ไม่อยากได้ เพราะสำหรับพวกเขา สิ่งที่ดีที่สุดคืออิสระบนท้องถนน
Loading next article...