“พี่พูดไม่ได้อะ ถามคนอื่นเถอะ”
“ไม่ขอพูดดีกว่าครับ ช่องผมอยู่นี่แสดงความเห็นไม่ได้เลย แค่นำเสนอตอนนี้ก็ยากแล้ว”
ถึงเราจะบอกไปว่าบทสัมภาษณ์นี้จะเป็นในรูปแบบของบทความและไม่เปิดเผยตัวตน แต่ก็มีสำนักข่าวหลาย ๆ สำนักที่ขอปฏิเสธในการแสดงความเห็นกับสิ่งที่ตัวเองกำลังนำเสนออยู่ขณะนี้ เพราะเราเป็นคนแปลกหน้า? ไม่รู้จะพูดยังไง? หรือว่าจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่สามารถแสดงความเห็นได้ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เป็นสื่อ?
“อยากทราบความเห็นหน่อยครับเรื่องการปิดกั้นเสรีภาพสื่อ”
“ผมว่าเขาก็ทำเพื่อคุกคามไม่ให้ประชาชนกล้ารายงานนะครับแล้วก็อย่างที่ผมโดนนี่นะครับ ผมโดนเพราะว่าผมมารายงานข่าวการชุมนุมฉะนั้นการรายงานข่าวการชุมนุมไม่ควรเป็นเรื่องผิดอยู่แล้วนะครับแล้วก็ การที่เขาจงใจออกหมายเรียกผมเนี่ยว่าฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉินเนื่องจากชุมนุมเกินห้าคนเนี่ยในทางปฏิบัติผมไม่ได้มาชุมนุมครับผมมารายงานข่าว
“การที่เขาทำอย่างนี้คือการที่เขาต้องการปิดสื่อแล้วก็สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นนะครับ แล้วมันก็เกิดขึ้นหลังจากที่วันนี้ศาลตัดสินว่ารัฐบาลไม่สามารถจะปิดว๊อยซ์ได้นะครับ ไม่สามารถจะปิดช่องทางในการสื่อสารได้เพราะว่าอำนาจทางกฏหมายไม่มีนะครับ ถ้าข่าวไหนผิดเนี่ยก็จัดการแค่ข่าวนั้นแต่ไม่ใช่ปิดช่องทางทั้งหมดซึ่งจะกระทบสู่การนำเสนอเนื้อหาทั้งหมดด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อวันนี้ศาลตัดสินแบบนี้เนี่ยเขาก็เลยใช้วิธีแบบนี้นะครับนั่นก็คือพอเล่นงานช่องไม่ได้เนี่ยก็คงจะมาเล่นงานตัวบุคคลนะครับ ซึ่งมันก็สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวครับคือ คนเขารู้ทั้งประเทศว่าผมมาทำงานนะครับ
“แล้วคุณมาดำเนินคดีกับคนที่มาทำงานว่าเป็นการชุมนุมนี่มันไม่เมคเซนส์อยู่แล้วครับ มันคือการสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวแล้วก็ในที่สุดเขาต้องการให้เสียงของผู้ชุมนุมนี่มันถูกลบไปจากประเทศนี้ไม่ให้มีผู้ชุมนุมอยู่น่ะครับ”
-ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ (Voice TV)
“….ขอบคุณมากครับ ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยครับ?”
“ได้ครับ”
“พี่ว่าถ้าไม่มีสื่อมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“ถ้าไม่มีสื่อจะเกิดอะไรขึ้น? มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าข่าวที่ไม่มีการกลั่นกรอง ใครอยากจะปล่อยอะไรมาก็ได้ โอเคยอมรับว่าสื่อมันก็เป็นดาบสองคม บางทีภาพหนึ่งภาพมันล้านความหมาย บางทีเราถ่ายไปหนึ่งใบเนี่ยเขาอาจจะไปตัดเอาแค่ส่วนเดียวก็ได้ หน้าที่ของเราก็คือการนำเสนอภาพทั้งหมดให้ได้ แต่ถ้าไม่มีสื่อปุ๊ป ภาพหนึ่งใบที่เราเคยถ่ายหรือใครก็ได้ถ่ายมันอาจจะกลายเป็นเครื่องมือให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำลายกันและกันโดยที่ไม่มีใครกรองมาเลย
เรื่องการเอาภาพไปใช้นี่ก็น่าสนใจเหมือนกัน เพราะหลาย ๆ คนเอาไปใช้โดยที่ไม่รู้บริบทว่าเบื้องหลังภาพมันเป็นยังไงแล้วกลายเป็นว่าภาพเหล่านั้นจัดเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่ข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ไปเลย
“เราคิดว่ามันคงไม่ใช่ว่าบอกว่าปิดสำนักนึงแล้วทำไมไม่ปิดอีกสำนักนึง คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะปิดซักสำนักเลย นั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าคุณก็เปิดไปสิ คุณเปิดให้ทุกคนได้ทำในสื่งที่เขาอ้างว่าเขาทำ สื่อที่เขาสื่อสารออกไป แล้วในความจริงมันจะบอกเองเพราะมันเช็คได้อยู่แล้ว โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ มันเช็คได้มากมายว่าอันไหนพูดไม่ตรง”
“ถ้าคนสิบคนพูดแบบนี้ อีกหนึ่งคนพูดแบบนี้มันก็อาจจะหมายความว่าสิบคนผิดก็ได้เพราะสิบคนอาจจะเป็นpropagandaทั้งหมดก็ได้ แต่คุณต้องเปิดโอกาสให้คนได้พูด นั่นคือขั้นพื้นฐานสุดแล้วในสังคมประชาธิปไตย”
“ระหว่างที่เราไม่ได้ออกไปม็อบเราก็ตามเช็คการไลฟ์เหตุการณ์ของแต่ละสำนัก บางสำนักก็มีจากหลายที่ เราเลยคิดว่ามันคงจริงเกินไปสำหรับใครบางคนแหละ หรือการไลฟ์มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปกว่าที่รัฐจะควบคุม?”
“ผมรู้สึกว่าแม่ง…คือมันยุคไหนแล้วอะ เลิกพยายามเหอะ ตอนนี้บทบาทของสื่อมวลชนคือการเล่าเรื่อง fact อย่างที่มีข้อมูลชัดเจนที่อยู่บนความจริง ผมมองว่าสื่อเลือกข้างได้ แต่การรายงานข่าวต้องเล่าทุกความเป็นจริงไม่บิดเบือนนั่นคือสิ่งสำคัญ ซึ่งผมก็พยายามให้มันเป็นกลางที่สุดเท่าที่จะทำได้ทุกคนก็พยายามเต็มที่อยู่แล้วในฐานะสื่อมวลชน ผมว่าอันนี้คือข้อแตกต่างระหว่างสื่อมวลชนจริง ๆ กับประชาชน ประชาชนผมว่ามีความที่จะเลือกข้างมากกว่าตามฝั่งตัวเองซึ่งอันนี้ผมก็เข้าใจ
“คือมึงปิดสื่อที่รายงานอย่างเป็นกลางไปอะจากนี้แม่งจะยิ่งเหี้ยกว่านี้ ความแตกแยกของข่าวสาร การเลือกข้างมันจะหนักขึ้นเพราะเล่าแต่ฝั่งตัวเอง ฝั่งนึงคิดอย่างนี้อีกฝั่งนึงคิดอย่างนี้ มันก็เป็นความปกติของสังคมประชาธิปไตยอะคือคนมองต่างกันได้ สุดท้ายแล้วเราไม่ต้องการอยากจะฆ่าล้างฆ่าฟันให้ความคิดอีกอย่างมันหายไป มันก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดีในสังคมอะจะยุคไหนก็ตามเถอะ การปิดสื่อคือการทำลายการที่จะสามารถเชื่อมตรงนี้ออกไปได้ มันทำให้สังคมแตกแยกกันมากขึ้น ผมว่ามันทุเรศ”
“พี่รู้สึกยังไงกับการที่มีคนมาบอกว่า‘เราทุกคน’เป็นสื่อ?”
“คืออยากจะบอกว่าคนที่อยากจะมาถ่ายจะถ่ายก็ได้ แต่ว่าคนที่เป็นสื่ออะมันมีกฏหมายคุ้มครองเขาอยู่ว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น แล้วก็การทำงานที่ผ่านอะไรมาเยอะเขาจะมีการยับยั้งการถ่าย การเสนอมันจะมีวิธีมุมมองซึ่งผมก็ไม่ได้ปิดกั้นนะอยากออกมาถ่ายก็ถ่าย แต่ว่าต้องดูแลตัวเอง รับผิดชอบตัวเองสูง ๆ เพราะว่าอะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้ เรื่องการกรองข้อมูลด้วย คนทั่วไปอาจจะใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปด้วยระดับนึงแต่ว่าสื่อมันก็ใส่ไม่ได้ แต่ก็พูดไม่ได้เพราะสมัยนี้ผู้ประกาศข่าวบางคนก็ใส่ความเป็นตัวเองลงไป แต่นักข่าวภาคสนามส่วนใหญ่อะจะไม่ จะต้องรายงานตามที่เห็นจริงมากกว่า”
“เอาจริง ๆ แล้วเท่าที่ดูมาในช่วงวิกฤตเนี่ย มันก็มีการพลาดพลั้งไปบ้างของสื่อมวลชนเหมือนกันแต่ก็มีหลายคนที่ออกมาขอโทษ ออกมาแก้ข่าวซึ่งก็ต้องยอมรับว่าสื่อมวลชนก็เป็นคนนึงที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว บางครั้งก็ต้องนำเสนอข้อมูลไปอย่างรวดเร็ว”
ฟังมาเราก็รู้สึกเศร้านิด ๆ กับเรื่องการเสพสื่อแค่สื่อเดียวนะ เพราะหลาย ๆ บ้าน(รวมทั้งเราเอง)ก็ยังเสพสื่ออยู่หลัก ๆ แค่เจ้าเดียว
.
“มันก็มีบ้าง เบื่อบ้างแหละ แต่มันก็มีคำพูดอะไรหลาย ๆ อย่างในม็อบที่ทำให้เราอยากรู้อะ มันก็ยังมีอยู่นะสิ่งที่เราอยากรู้ ถ้าเราทำงานแล้วไม่อยากรู้มันก็เบื่อป่ะ แต่เราอยากรู้เราก็ยิ่งเดินหายิ่งอะไรมันก็ทำให้เราสนุกขึ้นแต่แบบ เรามาม็อบก็เหมือนได้หาข้อมูลให้ตัวเองเพิ่มเติมด้วย”
“คนที่มาม็อบมันก็เหมือนได้แสดงความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นแล้วเก็บไว้ในใจอะ บางทีมันได้มาพูดมาระบายกับคนข้าง ๆ กับคนที่เขารับฟังมันก็เหมือนการระบายอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เอามาเก็บเป็นความโกรธแค้นแล้วจะไปตอบโต้อะ คือคิดเอาไปแก้ไขเพราะมันมีคำตอบอยู่ในนี้ ถ้าเราเดินดี ๆ เราก็จะรู้ว่าเด็กมันเฉลยออกมาเพราะมันพูดตรง ๆ เราก็ได้เก็บไปคิด”
“การที่ยิ่งมีสื่อเข้ามานำเสนอข้อมูลมันก็จะยิ่งช่วยเปิดเผยว่าความจริงคนเขาคิดกันยังไงใช่มั้ย?”
“ใช่ แต่ถ้ายิ่งมาปิดกั้นมันก็ทำให้ไม่ได้รับรู้ความจริงแล้วก็ยิ่งทำให้สังคมปะทุขึ้นอะ”
“วันนั้นมันก็มีความตื่นตระหนกอยู่นะเพราะตอนสลายการชุมนุมมันมีคนไปทวีตให้คนที่เข้าไปหลบในจุฬาฯออกมา เพราะตำรวจเตรียมจะล้อมจับและจะมีการใช้กระสุนยาง” เราเพิ่มบทสนทนาเข้าไปในฐานะคนที่ดูไลฟ์และไถทวิตเตอร์อยู่ตอนเกิดเหตุการณ์
“อื้อ ใช่ ๆ เราก็ตกใจว่ามันใช่มั้ย แต่เราเลือกที่จะตัดสินใจไม่รายงานเพราะว่าเรายังไม่เห็นกับตา เพราะถ้าเราพูดไปมันก็เป็นการตีค่าให้คนเขาตัดสินแล้วว่ารัฐแม่งรุนแรงชิบหายเลยทั้งที่จริง ๆ มันไม่มี ตอนแก๊สน้ำตานี่เราตกใจมากแล้วเราต้องรีบรายงานให้คนอยู่ข้างหลังรู้ว่ามันมีการสลายการชุมนุมนะ พอเรารู้ทีหลังก็เลยไปแก้”
“ตอนที่มีการสลายการชุมนุม ผมก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกันพี่ ที่แชร์รูปต่อ ๆ กันมาเพราะหัวร้อนกับการที่รัฐคุกคามประชาชน จนต้องมีคนรู้จักมาบอกว่ามันเป็นรูปจากที่อื่นเลยได้ลบและบอกทางต้นทางไป”
“ใช่ ๆ ๆ ส่วนหนึ่งเพราะอารมณ์เดือดด้วยแหละ แล้วด้วยอคติในใจกับทางฝั่งรัฐด้วยทำให้เราถูกชี้นำไปทางนึง ซึ่งมาคิดทีหลังแล้วมันไม่ดีเลยว่ะทีหลังต้องละเอียดกว่านี้ แต่อีกอย่างหนึ่งที่เราเห็นไม่รู้มันเกี่ยวข้องรึเปล่านะคือเราถ่ายคนที่โดนจับได้”
“วันไหนนะพี่?”
“ถ่ายได้ตอนวันที่15 ทหารพยายามไม่ให้ถ่ายด้วย มันไล่เราแบบพยายามจะจับเราอะเอาง่าย ๆ แบบ‘เห้ยถ้าถ่ายจับนะเว้ย’ เรารู้สึกว่าพอมีคำนั้นออกมามันทำให้เรามองเขาไม่ดีขึ้นไปอีก เราถ่ายเพราะเราไม่รู้ว่าคนที่โดนจับเป็นใครแล้วเราเป็นกล้องเดียวที่ถ่ายได้ด้วยเลยถ่ายมารายงานบอกต่อ พอมาวันที่16เลยกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก กลายเป็นความเดือดดาลความอคติส่วนตัวด้วย เลยรายงานผิดพลาดไป”
หลังจากสัมภาษณ์เสร็จเราก็ร่ำลากับรุ่นพี่ที่คณะซึ่งนอกจากจะส่งรูปขายแล้ว ยังรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนได้รู้ด้วย(โคตรขยัน)
ถ้าผู้เสพสื่อเห็นพ้องต้องกันว่าสื่อไหนที่นำเสนอข่อมูลที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง สื่อ ๆ นั้นก็จะเสื่อมความนิยมจนอยู่ไม่ได้ไปเอง….หรือไม่แน่ว่าที่พฤติกรรมการบริโภคสื่อแบบนี้ยังอยู่เพราะว่าเขาไม่ได้เสพสื่อเหล่านั้นเพราะต้องการความจริง แต่เพื่อต้องการยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเชื่อกันแน่นะ?
ขณะที่เอาแผงกั้นมาขวางผู้ชุมนุมปากก็พูดไปว่า ‘สันติวิธีคือการอยู่เฉย ๆ ’ เมื่อผู้ชุมนุมกระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีการเบียดเสียดกันกับการ์ดผู้ชุมนุม พี่เขาก็โวยวายขึ้นมาว่า ‘ถ้าพวกคุณสันติวิธีกันจริง ๆ แล้วพวกคุณมาเบียดผมทำไม’
ถ้าปิดกั้นสื่อกันหมด นอกจากจำนวนกล้องที่รายล้อมพี่คนนี้จะลดลงแล้ว การนำเสนอข้อมูลในแต่ละด้านก็คงจะลดลงด้วย กลับกันถ้าพี่คนนี้ได้อ่านบ้อมูลที่นำเสนอโดยสื่อหลาย ๆ แห่ง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีมุมมองต่อการชุมนุมเหล่านี้ต่างออกไปก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ เราอยากให้เช็คข้อมูลเหตุการณ์นี้จากที่อื่นด้วย เพราะเหตุการณ์ค่อนข้างชุลมุน เราก็ได้แต่นำเสนอข้อมูลที่ได้เห็นและได้ยินมาในฐานะ “สื่อ” คนหนึ่งเท่านั้น