Club Culture จบเพราะยา(คุณ)เม็ดเดียว
ได้ยินแบบนี้มาจากปากเด็ก 90s หลายคนมากว่าปาร์ตี้สมัยก่อนสนุกกว่าเที่ยวทองหล่อหลายเท่า ยิ่งทำให้เราอยากคุยกับเจ้าของร้านมากขึ้นไปใหญ่ว่าสมัยนั้นมันยังไงกันแน่นะ ยุคสายเดี่ยวส้นตึก อยู่ RCA ยันเช้า ดาราโดนจับเพราะยา 

วันนี้ได้มีโอกาสคุยกับพี่ตุ๋ย อดีตเจ้าของร้าน Club Culture, Club Astra, Cafe De Moc ผู้จัดเทศกาลดนตรี Culture ONE ที่เกลียดยาเสพติด และ ตอนนี้พี่แกเลิกเหล้าไปแล้ว 

พี่ตุ๋ยเล่าให้เราฟังด้วยน้ำเสียงรำคาญว่า เมื่อก่อนคนมาปาร์ตี้ใน Club Astra RCA ถึง 2,000 คน ที่งาน Dudesweet ก็เคยจัดที่ร้านเค้า วันนั้นขายบัตรได้ 5,000 ใบทั้ง ๆ ที่คลับจุคนได้ไม่ถึง

เค้าเป็นหนึ่งคนที่รู้ว่ายาเสพติดเข้ามาในคลับครั้งแรกปี 1990 พร้อม ๆ กับบริษัทเหล้าที่เริ่มเข้ามาทำการตลาดอย่างหนักหน่วง วัฒนธรรมการเปิดโต๊ะกินเหล้าก็เกิดครั้งแรกในยุคนั้น เค้าเคยเห็นลูกค้าเมาตกจากระเบียงร้านลงมาเสียชีวิต คนเที่ยวที่เมายาก็เริ่มฟังเพลงแบบเดิม ๆ คือเพลง Want Love- Hysteric Ego (ลองกูเกิ้ลดู melodyคุ้นหูทันทีแน่นอน) ฟังซ้ำอยู่ใน RCA กว่า 6 ปี แล้วเค้าก็พูดตัดจบออกมาเหมื่อนขี้เกียจเล่าแล้วว่า

“ผมอยู่ใจกลางมันทุกคืน คนไทย กับ ยาเม็ดเดียว คนส่วนใหญ่อาจมองว่า 90s มันคือยุครุ่งเรือง เราปาร์ตี้กันยันเช้ายิ่งกว่าเมืองนอกอีก แต่จริง ๆ มันกำลังดิ่งลงเหวเพราะมียาเข้ามา’”

ได้ยินแบบนี้ก็สะดุดใจอยู่นิดนึง กลายเป็นว่าเจ้าของคลับเกลียดพวกคนเสพยา เพราะคนพวกนี้ไม่ฟังเพลง และ กลายเป็นว่าคนพวกนี้มีส่วนทำให้ปาร์ตี้ยุค 90s ล่มสลาย  

เรานั่งคุยกันไปพร้อมเบียร์ที่ทะยอยเปิดมาเรื่อย ๆ  บทสนทนาลื่นไหลไปตามจังหวะการกระดกเบียร์ของเรา ขณะเดียวกันพี่ตุ๋ยเพิ่งเริ่มจิบกาแฟดำทั้งที่ตะวันเพิ่งลับขอบฟ้า ชีวิตเขาเพิ่งเริ่มต้นในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังจะหลับไหล นาฬิกาชีวิตที่กลับตาลปัตรแบบนี้ยิ่งทำให้เราสงสัยในตัวเขามากขึ้นไปอีก 

พี่ตุ๋ยจุดบุหรี่ขึ้นสูบเป็นระยะ ๆ ภายใต้ห้องพักที่ห้อมล้อมไปด้วยแอลกอฮอล์ ควันบุหรี่ และ แผ่นเสียงที่เราไม่คุ้นเคย พาให้เราสัมผัสถึงบรรยากาศที่เขาเลือกจะหยุดเวลาเอาไว้ในห้องแห่งนี้ 

กลิ่นอับของพรม หมาปอมอารมณ์ดีสองตัว งานศิลปะ Abstract ที่สร้างขึ้นโดยน้องคนสนิทที่เคยมาปาร์ตี้เป็นประจำ คลังแผ่นเสียงนับไม่ถ้วน อัลบั้มรูปถ่ายเมื่อหลายสิบปีก่อน บาร์เหล้าที่ใหญ่กว่าโซนครัวเอาไว้ต้อนรับเพื่อน ๆ ที่มักจะแวะมานั่งเล่น ที่นี่คงเป็นโลกแห่งอดีต และ ปัจจุบันที่ผสมกันอยู่ภายใต้ความสับสนในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ 

เจ้าของคลับอย่างพี่ตุ๋ยมองการเที่ยวกลางคืนสูงส่งดั่งศิลปะ ในขณะที่เรามองว่ามันเป็นแค่สถานบันเทิงที่เอาไว้ไปเมา เราไม่เคยหาเหตุผลกับมันมากเท่าที่พี่ตุ๋ยคิด พอได้ฟังคำอธิบายของพี่ตุ๋ยเลยเข้าใจว่า ความสนุกของปาร์ตี้ มันคือการสร้างบรรยากาศที่ดี 

Club Culture จึงมีระบบเสียงคุณภาพดีระดับเดียวกับ คลับใหญ่ ๆ ใรยุโรปแบบที่ เกาะ Ibiza ประเทศสเปน เมืองอันดับหนึ่งแห่งการปาร์ตี้อย่างคลับ Pacha และ คลับที่ถูกจัดอันดับว่าดีที่สุดในโลกอย่าง Zouk ที่ตั้งอยู่ใกล้แค่ประเทศสิงคโปร์  

สมัยก่อนพี่ตุ๋ยเล่าว่าชีวิตส่วนใหญ่ใช้ไปกับการท่องเที่ยวตามคลับดังทั่วโลกส่วนหนึ่งคือความชอบ อีกส่วนก็เพื่อเป็นการศึกษาดูงาน เขาคือหนึ่งคนที่หลงรัก Dance Music ที่รู้ว่าเพลงพวกนี้เหมาะกับการฟังในคลับคุณภาพดี จึงฝันอยากสร้างปาร์ตี้ให้กับคนไทยในยุค 90s ให้สมบูรณ์แบบเทียบเท่ากับต่างประเทศ

“เวลาคนถามว่าทำไมจัดงานแล้วคนยังจำได้ถึงทุกวันนี้ เพราะผมจัดงานแล้วผมไม่ได้ใช้ยา ผมใช้เหตุผลด้านเพลง และ บรรยากาศ”

“ผมใช้สติสัมปชัญญะ อยู่กับปาร์ตี้ทุกคืน เห็นคนเมายา โดดตึก ฆ่าตัวตาย คนรู้จักหลายคนตายเพราะดาวน์ยา พอไม่ได้เสพยามันดิ่งไง ไม่ใช่เพราะใช้ยาเกินขนาด” 

แต่เอาเข้าจริงบรรยากาศคลับสำหรับเรา ส่วนหนึ่งก็ยังรู้สึกว่ามันคือสถานที่ที่เอาไว้ใช้ยาเสพติด เราไปเพราะอยากสนุก อยากหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริง

เวลาปาร์ตี้แค่กัดอีเศษหนึ่งส่วนสี่เม็ดก็ไปได้ถึงสวรรค์  ดมโค้กสี่แถวแล้วทำให้โลกสวยงาม มันคือช่วงหนึ่งของชีวิตที่มีความสนุก เพราะเรารู้สึกเป็นอิสระ ชีวิตมันต้องเต็มที่ ชีวิตต้องมีความหมาย ทุกอย่างที่เราทำมันจึงมีคุณค่าต่อความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง 

เราแอบรู้สึกขัดแย้งกับเหตุผลของการสร้างคลับซีนให้มันใหญ่โตขึ้นโดยไม่ใช้ยาเสพติด เพราะคลับที่เราเคยไปที่เบอร์ลินกลับมีห้องที่หน้าตาเหมือนห้องน้ำแต่ไม่มีส้วม มีคนเข้าไปรวมตัวกันในห้องนั้นมากกว่า 1 คน แน่นอนว่าเข้าไปเล่นยา เพราะเราเห็นเค้าส่งของกันผ่านร่องประตู 

แล้วอยู่ดี ๆ ทำไมยาเสพติดมันมาทำลายคลับซีนในประเทศไทย ในขณะที่ต่างประเทศเค้ามีเทศกาลดนตรี มีคลับใหญ่ ๆ เปิดกันถึงเช้าได้ พี่ตุ๋ยเสริมว่าเพราะคนไทยสมัยนั้นไม่มีความรู้เรื่องเพลงมากเท่าฝรั่ง เราไม่ได้เติบโตมากับดนตรีเต้นรำ เพลงที่เปิดในคลับมันจึงเป็นเพลงที่คนไทยเอาไว้ใช้เล่นยาอย่างเดียว 

พี่ตุ๋ยน่าจะเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ของดีเจจากฝรั่งโดยตรง สมัยที่ค่ายเพลงอังกฤษส่งดีเจมาเปิดแผ่นในไทยครั้งแรกปลายยุค 80s สมัยที่ยาเสพติดยังไม่มาเยือนประเทศไทย แกเลยน่าจะมีความเข้าใจเรื่องดนตรี กับ ยาเสพติดที่แตกต่างไปจากคนรุ่นใหม่อย่างเรา

“ยุค 80s คือสมัยที่ซีนเต้นรำรุ่งเรืองมาก ผมใช้เพลงสมัยนั้นเลย ไม่ใช้เพลงเก่า ผมใช้เพลงเพื่อมุ่งไปข้างหน้า เพื่อจะบอกว่าพรุ่งนี้เป็นยังไง”

น้องปอมเมอเรเนียนสองตัวเริ่มเรียกร้องความสนใจจากพี่ตุ๋ย พร้อมกับการเล่าถึงบรรยากาศความเมาของชีวิตที่มีแต่ปาร์ตี้ ดินแดนที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นเมาเหล้า เมายา กับภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนังแบบ trippy art  ช่างสวนทางกับน้ำเสียงที่ใช้สนทนากับน้อง ๆ สองตัวเสียเหลือเกิน

มีอยู่วันหนึ่งที่หน้า Club Astra พี่ตุ๋ยเคยเห็นคนตกจากระเบียงชั้นสองลงมาเสียชีวิตต่อหน้า เป็นไปได้ว่าความเมาเกินขนาดคงสร้างประสบการณ์อันเลวร้ายมาให้กับเขา ทั้งคนเมาที่ไม่ค่อยฟังเพลง และ ภายหลังก็นำมาสู่การปราบปรามยาเสพติดครั้งใหญ่ในปี 2010 ซึ่งทำให้หลายคลับใน RCA ต้องปิดตัวลง

พี่ตุ๋ยเล่าแบบภูมิใจว่าในประเทศไทย คลับซีนเราก็เคยยิ่งใหญ่ระดับโลก แกเสริมว่าปลายยุค 80s แกเคยเปิดดีเจที่ Club NASA มีคนมาฟัง เป็น 7,000 คน มองจาก booth ดีเจจะเห็นเป็นคลื่นมนุษย์ขนาดยักษ์ 

“คนที่มาเต้นรำไม่ได้บอกว่าเค้าชอบเพลงไหนเจาะจง จริงๆ แล้วเค้าชอบบรรยากาศ มันเหมือนกับงานศิลปะ มันสร้างมาจาก สี ก้อน หิน เหล็ก คนชอบงานเพราะไม่ได้ชอบหิน เค้าชอบบรรยากาศ” 

แกยังชอบนึกถึงอดีตอันหอมหวานของแดนซ์ฟลอร์ที่รายล้อมไปด้วยคนที่รักเสียงเพลง การได้รับการยอมรับจากผู้คน แต่ในขณะเดียวกันเวลาก็ได้พรากวันดี ๆ เหล่านั้นไป โลกที่เปลี่ยนไป มาพร้อมกับยาเสพติด

เราไม่กล้าเอ่ยปากถามว่าพี่ตุ๋ยตรง ๆ ว่าเคยใช้ยาบ้างไหม เพราะทุกสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้ามันช่างขัดแย้งกับความเชื่อของพี่ตุ๋ยเสียเหลือเกิน อย่างความเชื่อที่ว่ายาเสพติดทำลายคลับซีน ในขณะเดียวกันพี่ตุ๋ยก็เคยจัดปาร์ตี้ที่ประสบความสำเร็จมากในยุคหนึ่ง และ คงต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งของความมันส์นั้นย่อมปะปนไปด้วยยา 

เอาเข้าจริง สังคมอาจจะต้องลองเปิดให้พูดถึงการอยู่ร่วมกันกับยาเสพติดให้มากกว่านี้ แม้ว่าบ้านเราจะตั้งตนเป็นเมืองพุทธ แต่ในทางกลับกันเรายังรู้กันดีว่ายาเสพติดมีให้เลือกหลายแบบมากขึ้น และ หาง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน แค่ไลน์หาดีลเลอร์ก็มียามาส่งแล้ว

ในต่างประเทศ คลับเป็นสถานที่ที่พูดถึง ศิลปะ ดนตรี และ การเต้นรำ ยาเสพติดมันเป็นส่วนที่เข้ามาเสริมประสบการณ์ของนักเที่ยวแต่ละคน มันก็เป็นสิทธิของเขาที่จะเลือกใช้อะไรตามที่ตัวเองถนัด อย่างบางคนดมโค้กเสาร์อาทิตย์ แล้ววันจันทร์ก็ยังมาทำงานได้ปกติ คนพวกนี้เค้าก็ปะปนกับพวกเราในเมืองนี่แหละ ใคร ๆ ก็รู้ว่าต้องมีเงินถึงสั่งยามาใช้ได้ 

พี่ตุ๋ยยกตัวอย่างว่า ในประเทศสิงคโปร์มีกฎหมายเรื่องยาเสพติดที่ให้โทษแรงมาก แต่นักเที่ยวหลายคนจะรู้ว่าจริง ๆ แล้ว เรายังสามารถหายาในสิงคโปร์ได้อยู่ คนเค้าก็เสพกันเหมือนที่กรุงเทพ เพียงแต่ภาคประชาชนเค้าก็แรงกลับเหมือนกัน ภาครัฐไม่มีสิทธิมาตั้งด่านสุ่มตรวจปัสสาวะกันแบบประเทศไทย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย 

Zouk Singapore เคยเป็นหนึ่งในคลับที่ดีที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่เค้าเป็นประเทศที่เล็กมาก และ คลับซีนเค้ามาหลังประเทศไทยนานมาก แต่เค้ากลับนำเราไปแล้ว ยาเสพติดก็มี ก็ใช้กันเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่เค้ามีเหนือคลับในไทย น่าจะเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัย คุณภาพเรื่องเสียง และ คุณภาพดีเจ เทียบเท่ากับในยุโรปได้เลย ส่วนหนึ่งคือการให้ความร่วมมือจากภาครัฐ 

แผ่นเสียงหายากถูกเปิดขั้นบทสนทนาของพวกเรา ผ่านบทเพลงของ Freddie Aguilar พี่ตุ๋ยถามเราว่าเคยได้ยินมาก่อนไหม เรานึกในใจว่าทำนองมันคุ้นมากแต่นึกไม่ออกว่าเพลงอะไร พอมาถึงท่อนฮุคเลยนึกออกว่ามันคือเพลงลุงขี้เมาภาษาฟิลิปินส์

‘เช้าวันหนึ่งมีคนพบศพขี้เมานอนตาย….’ 

พี่ตุ๋ยบรรยายไปพร้อมจุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้ง เพลง Anak คือเพลงต้นฉบับก่อนที่วงคาราบาวจะใช้มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงลุงขี้เมา 

บูธดีเจที่มีพื้นที่กว้างพอ ๆ กับห้องนอน และ ดูเป็นระเบียบมากกว่าพื้นที่บนเตียง เหล้า Sangria ถูกนำมารินลงในแก้วไวน์แทนเบียร์จำนวนนับไม่ถ้วน เคล้าไปพร้อมกับเสียงเพลงที่กำลังแล่นอยู่บนเครื่องเล่นแผ่นเสียง ดนตรี และ ความกรึ่มกำลังพาเราไหลไปสู่ความเอ่อล้น

นี่คงเป็นโลกที่ชายผู้นี้รำลึกถึงมันอยู่แทบทุกวัน ชีวิตที่อุทิศเพื่อเพลง และ ปาร์ตี้ 

พี่ตุ๋ยพูดขึ้นมาด้วยความภูมิใจหลังเพลงเล่นจบแผ่น 

“ชีวิตผมเหมือนเกษียณแล้วตั้งแต่เรียนจบมหาลัย” 

Loading next article...