ตอนนั้นคงไม่มีใครคิดมาก่อนว่า ผู้หญิงคนนี้จะชนะรางวัล ‘ชมนาด’ ด้วยกระดาษซึ่งเขียนด้วยลายมือจำนวน 120 แผ่นที่หลายหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป กลายเป็นนักเขียนหญิงซึ่งทุกคนรู้จักในนามปากกา ‘เอรี่’

“ตอนนั้นเรารู้สึกว่าชีวิตมันมีคุณค่า เราเห็นคุณค่าของตัวเอง”
“แบบที่ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นมาก่อนเหรอคะ” ฉันถาม
“เมื่อก่อนคนเขาพูดกันว่าไปขายตัวทำไม ไม่มีศักดิ์ศรีเหรอ หนิงไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร คิดแค่เวลาไม่มีกินแล้วศักดิ์ศรีมันช่วยได้ไหม
“มีคนพูดว่า ถึงจะเป็นผู้หญิงขายตัว แต่เขาก็ไม่ได้ขายจิตใจ ขายวิญญาณ หนิงอยากรู้จังเลยว่า ใครคิดหรือพูดขึ้นมา โสเภณีแค่อยากจะทำเงินอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ไม่รู้หรอกคุณค่าของความเป็นมนุษย์หรอก คำว่าศักดิ์ศรีในมุมของเราตอนนั้นก็คือ ไม่ได้ไปขอใครกิน ฉันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ไปสร้างปัญหา ดีกว่าไปนั่งขอทาน แต่พอหลุดมาแล้วจึงเข้าใจ

คำพูดจากปากผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า “หนิง” ทำให้กาแฟที่เราเคยดื่มทุกวันมีรสชาติไม่เหมือนเดิม และเวลาสองชั่วโมงของการสนทนาก็ทำให้บ่ายวันหนึ่งในคาเฟ่ที่คุ้นเคยแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“พอมองย้อนกลับไป ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเรานี่แหละเป็นคนกำหนด จริงๆเลือกจะไม่ขายตัวก็ได้ ไปทำมาค้าขายหรือทำอย่างอื่น อาจจะได้เงินช้าหน่อย แต่เราอยากได้ อยากมีเหมือนคนอื่น พอหนิงหลุดจากอาชีพขายบริการแล้วก็ไปขายของ ไปเป็นแม่บ้านปูเตียง เรียนทำผม เรียนแต่งหน้า โห … ทำไมเราไม่รู้ตั้งแต่เมื่อก่อน อาชีพมีมากมาย แต่เราเลือกไปขายตัว ขนาดถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วก็ยังทนทำอยู่ เพราะว่าเราเลือกที่จะทำตรงนั้นไง เมื่อก่อนงานเงินได้เดือนเป็นแสนก็ไม่พอใช้ แต่ทุกวันนี้เดือนไม่ถึงหมื่นก็ยังอยู่ได้
“หนิงไม่มีวันที่จะกลับเข้าไป เพราะเราไม่อยากทำอย่างนั้นแล้ว ไม่ได้อยากไปนอนกับใคร ไม่อยากถูกทำร้าย ถูกเหยียดหยาม ไม่อยากเป็นสัตว์ เวลาถูกกระทำ เราก็เหมือนกับเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เด็กรุ่นใหม่เขายังไม่รู้หรอก เขายังหลงระเริง อยู่ไปสักพักจึงได้รู้

“บางคนด่าหนิงแบบสาดเสียเทเสีย บางคนก็มาด่า ‘เป็นกะหรี่แล้วจะเอาอะไรมาสอนเขา…’ ทั้งที่เราทำงานเพื่อบอกกับสังคมว่า ไม่อยากให้ใครมาเป็นโสเภณีอีก’”
แม้จะมีผลงานสร้างชื่อสร้างรายได้สูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนักเขียนคนอื่น เธอก็รู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับเท่าเทียมกัน “เพราะว่าเราเป็นโสเภณี เราไม่ได้จบปริญญา บางครั้งเราก็ได้รับเกียรติต่างกัน”
ในขณะที่นักเขียนคนอื่นถูกเชิญไปสอนเรื่องการเขียนให้นักศึกษา แต่เธอถูกเชิญให้ไปพูดอะไรตลก ๆ เพื่อสร้างสีสัน ซึ่งคำตอบของเธอมีเพียงอย่างเดียว
“หนิงไม่ไปเพราะไม่ได้เป็นตัวตลก”

“ตอนแรกก็โกรธ รังเกียจคนพวกนี้ ไม่อยากอยู่ตรงนี้ อยากตอบโต้แรง ๆ ตอนหลังก็เอาไปคิด พยายามเข้าใจมนุษย์ เข้าใจสังคม อาจจะเพราะว่าอายุเรามากขึ้น ทำให้ใจเย็นลง ได้เห็นอะไรมากขึ้น แล้วก็ทำยังไงให้ตัวเราเองมีศักยภาพกว่าเดิม ไม่ได้โทษคนอื่น
“กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มันโคตรยากเลย เพราะว่า หนิงเป็นคนดื้อหัวชนฝาเหมือนกัน อะไรที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง ไม่เจอกับตัวเองจะไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง เมื่อก่อนใครมาบอกให้หนิงคิดบวก หนิงไม่ฟังเลยนะ เดินหนีเลย อย่ามาโลกสวย รู้สึกต่อต้าน ก่อนจะพบว่า มันจริง มันเหมือนเป็นแรงดึงดูด”
ฉันสงสัยว่าในเมื่อเธอเลิกอาชีพเก่าโดดเด็ดขาด แล้วปัจจุบันเธอหารายได้จากไหน?
เอรี่บอกว่าเธอมีรายได้จากยูทูบและการขายสินค้าต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีชีวิตอยู่ได้แบบสบาย ๆ แม้ว่าจะไม่มากเท่าเมื่อก่อนก็ตาม

“อยากรณรงค์ให้บ้านเรามีโสเภณีน้อยลง ที่ผ่านมีคนเข้ามาหาขอคำปรึกษา ในจำนวน 20-30 คน อาจจะมีเลิกทำอาชีพนี้ได้หรือตัดสินใจไม่เข้าไปทำอาชีพนี้สัก 1 คน ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนใหญ่คนเคยทำแล้วก็จะวกกลับไปอีก เพราะไม่คิดว่าจะมีงานที่ทำแล้วได้เงินดีเท่านี้ เพราะสังคมให้คุณค่ากับคนมีเงิน พวกเขาก็อยากได้รับการยอมรับ”
ฉันคิดว่าเพราะอดีตเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถสร้างปัจจุบันและอนาคตได้

…แม้ว่า เอรี่จะบอกลาและเดินลับสายตาหายไปหลังประตูร้านกาแฟแห่งนั้นนานแล้ว แต่หลายถ้อยคำของเธอยังคงก้องดังสั่นสะเทือนในความรู้สึก และทำให้มุมมองความคิดบางอย่างของฉันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล