เราทุกคนล้วนมองความเหงาในตัวเรายิ่งใหญ่ที่สุดกว่าใคร
แต่ถ้ามหานครที่เพียบพร้อมอย่างกรุงเทพฯ ยังทำให้คนธรรมดาอย่างเราเหงาได้ทั้งในและนอกเวลาเทศกาลแล้วคนไร้บ้านที่มองพวกเราดำเนินชีวิตอยู่ไกลๆล่ะ เขารู้สึกอย่างไร
จึงทำให้เราเริ่มอยากหาคำตอบว่าเราเสพติดความต้องการที่จะมีใครสักคนอยู่ด้วยตลอดเวลาเกินไปรึเปล่า หรือจริง ๆ แล้วเราแค่คิดไปเองว่าความเหงามันเลวร้าย

อยากรู้ว่าคนไร้บ้านจะเหงาเหมือนเราไหม?
เราเห็นคนใกล้ตัวหลายคนชอบบ่นว่าเหงา ตกเย็นวันศุกร์ เสาร์ คือต้องทักมาแล้ว ‘คืนนี้ไปไหน’ ‘วันนี้ทำอะไร’ ‘หาไรกินกันปะ’ สุดท้ายก็คือลงเอยที่การนั่งดื่มเบียร์ในร้านไหนสักแห่ง บางคืนถ้ามีแรงหน่อยก็ไปต่อร้านข้าวต้ม ทำแบบนี้มาหลายปีมากแล้ว โดยที่เราพอจะรู้คำตอบว่าเราต่างต้องการอยู่กับใครสักคนในยามค่ำคืน
เราแอบอิจฉาคนที่ไม่เคยรู้สึกเหงา ว่าเค้าคงจะรู้สึกดีไม่น้อย ที่ตัวเองสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุข สำหรับเรา เรามองว่ามันเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกินที่จะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ปกติถ้าเราไม่มีเพื่อน เราก็จะมีครอบครัว หรือ คนรักอยู่เคียงข้าง
จึงทำให้เราเริ่มอยากหาคำตอบว่าเราเสพติดความต้องการที่จะมีใครสักคนอยู่ด้วยตลอดเวลาเกินไปรึเปล่า หรือจริง ๆ แล้วเราแค่คิดไปเองว่าความเหงามันเลวร้าย

ลุงว่าระหว่างลุงกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาใครเหงากว่ากันคะ?
“คนอื่นเหงากว่าสิ เค้ามีหลายอย่างที่ต้องห่วง ส่วนลุงไม่มีอะไรแล้ว ไม่อยากได้อะไรเลย”
ในสายตาของคนไร้บ้านอย่างลุงกลับมองว่าตัวเองไม่เหงา ในขณะที่เราคิดไปไกลแล้วว่าแกน่าจะฝันอยากมีบ้าน มีงานดี ๆ มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ
หรือว่าการมีบ้าน มีงาน มีเงินอย่างพวกเราคือความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ?
สภาพลุงที่เราเห็นครั้งแรกคือแกนั่งอยู่ตรงบันไดทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีหัวลำโพง แกกำลังนั่งมองคนที่เดินผ่านไปมา คุณลุงดูสนิทสนมกับพ่อค้าขายไอศกรีมรถเข็นที่ยืนอยู่เยื้อง ๆ กัน เราเดินเข้าไปสอบถามลุงว่าคนไร้บ้านส่วนใหญ่หายไปไหนหมดแล้ว
“โอยย..เค้าไล่ไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้เค้าย้ายไปนอนกันที่อื่นหมดแล้ว” พร้อมกับมองเราด้วยสายตาอันอ่อนโยน
อ่าว ไล่ไปนอนที่อื่นนี่คือตรงไหน? ดูเหมือนลุงจะดูไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ ช่วงหลังที่ผ่านมาเราสังเกตเห็นว่าสนามหลวงก็ไม่มีที่ให้คนไร้บ้านพักแล้ว หรือว่า การเป็นคนไร้บ้านที่นี่จะถูกหลงลืมไปแล้ว

ในขณะที่พวกเราทั้งหมดกำลังกังวลกับการระบาดของโควิด ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโลกนี้
ทันทีที่เราถามลุงว่าลุงไม่กลัวโควิดหรอคะ ลุงกลับไม่เข้าใจกับคำถามของเรา
“อ๋อ! ไอ้ที่ใส่หน้ากากกันอะเหรอะ มันคืออะไรนะ”
กลายเป็นว่าข่าวโควิดไปไม่ถึงคุณลุง? แต่อาจเป็นเพราะลุงค่อนข้างมีอายุ จึงไม่ได้รับข่าวสารจากคนอื่นมากเท่าไหร่ สังคมของทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอันเพรียบพร้อม กลายเป็นว่าเชื้อโควิดคงเป็นสิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรชีวิตของคนไร้บ้านเลย ชีวิตคุณลุงก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างปกติ โควิดดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับวงจรชีวิตของลุงมากเท่าไหร่
แต่ที่เห็นว่ากระทบมากที่สุดน่าจะเป็นรายได้ที่ได้จากคนตามท้องถนน ลุงกล่าวกับเราว่าช่วงนี้คงเศรฐกิจไม่ดี ไม่ค่อยได้เงินจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
“สมัยประยุทธ์นี่แย่นะ รายได้ไม่ค่อยดี”
ข่าวสารคงไปไม่ถึงลุงมากเท่าไหร่ ลุงสัมผัสได้แค่จากชีวิตบนท้องถนนว่าลุงได้เงินจากคนบริจาคมากน้อยแค่ไหน แม้แต่ข่าวเรื่องโควิดลุงยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่เลย

ความเสี่ยงของการไร้บ้าน ?
“กลางคืนมันจะชอบมีพวกค้างคาว” ลุงกล่าวอย่างเป็นเรื่องปกติ
ลุงอธิบายว่าค้างคาวคือพวกวัยรุ่นที่มักจะมารีดไถเอาเงินจากคนแบบลุง โดยเฉพาะคนไร้บ้านที่มีอายุมาก มักตกเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มคนเหล่านี้
ลุงกล่าวกับเราด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยประหนึ่งว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต.
“ก็ต้องให้มันไป เราจะไปสู้อะไรกับมันได้ ลุงแก่แล้ว ปีนี้ลุงอายุ 66 แล้วนะ”
ขณะนั้นในมือลุงกำแบงค์ยี่สิบเอาไว้หนึ่งใบ พร้อมกับเศษเหรียญที่วางอยู่ประปรายบนพื้น นี่คงเป็นเงินสำหรับวันนี้ที่ลุงได้รับมา หรือ ไม่ก็เป็นเงินที่เหลืออยู่สำหรับวันนี้ เมื่อสถานีปิดลุงก็คงต้องเดินเตร่กลับบ้านเพียงลำพังพร้อมเงินจำนวนหนึ่ง แล้วก็ทำให้เราอดเป็นห่วงทางเดินกลับบ้านของลุงไม่ได้ ว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับลุงไหม
ดูเหมือนว่าชีวิตของคนไร้บ้านเป็นชีวิตที่ต้องอยู่ในที่สาธารณะตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานอนยังไม่มีความเป็นส่วนตัว หนำซ้ำยังมีตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มค้างคาว แค่ชีวิตประจำวันของลุงก็ฟังดูยากลำบากแล้ว พอหันกลับมามองชีวิตตัวเอง เรามัวแต่ไปคิดว่าเราเหงา เราเศร้า มีเรื่องเล็กน้อยกวนใจเราหลายอย่าง อาจเป็นเพราะเรามีเวลามากพอมามัวแต่นั่งคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง

ความรักของคนไร้บ้าน?
ชีวิตครอบครัวของลุงฟังดูเหมือนแกจะไม่ได้ใส่ใจกับมันมากเท่าไหร่ หมายถึงว่าแกไม่ได้คิดว่ามันมีความจำเป็นอะไรขนาดนั้น ลุงบอกกับเราว่าลุงเคยมีแฟน แต่ก็ไม่ได้คบหาอะไรกันจริงจัง ลุงเสริมว่ายังไม่ทันได้เสียกันเลย แล้วลุงก็ไม่ได้เล่าอะไรเพิ่มให้เราฟังต่อจากนี้
ลุงกล่าวกับเราว่าลุงชอบมานั่งที่บริเวณนี้เพราะชอบมองผู้คนเดินผ่านไปมา ระหว่างที่เราคุยกันอยู่นี้ก็จะมีคนใจดีเอาแซนวิช กับ น้ำเปล่ามาแจกให้ ลุงกล่าวขอบคุณด้วยความเต็มใจ พร้อมเสริมให้เราฟังว่าคนพวกนี้เป็นคนชอบทำบุญ
“เค้าเชื่อว่าบริจาคของให้คนแบบลุงแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์”
กลายเป็นว่าคนอยู่ในชีวิตประจำวันของลุงบ่อยที่สุดคือกลุ่มคนใจบุญที่ผ่านไปมา คอยมอบอาหารและน้ำดื่มให้กับคนไร้บ้านแถวนี้ แม้ลุงจะดูไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ แต่สีหน้าก็ดูยินดีปรีดากับการที่แกอนุญาตให้คนอื่นมอบของให้ เพราะแกบอกว่าคนพวกนี้ชอบทำบุญ
โชคดีที่ลุงยังมีงานที่วัดเลยพอจะมีรายได้เข้ามาบ้าง แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าคนชราที่ไร้บ้านคนอื่นเค้าจะมีชีวิตอยู่กันยังไง ถ้าไม่มีคนมาบริจาคของให้คือต้องอดมื้อกินมื้อหรอ?

มิตรภาพบนความไร้บ้าน?
มิตรภาพของลุงน่าจะถูกส่งผ่านระหว่างคนใจบุญที่เดินผ่านไปมา และกับพี่ที่ยืนขายไอศกรีมรถเข็นที่เดินเอาข้าวเกรียบว่าวมาแบ่งให้ รวมถึงช็อคโกแลตที่ตากล้องเรานำมาฝาก ลุงรับไว้ด้วยความยิ้มแย้ม
จริง ๆ ชีวิตลุงดูจะเรียบง่ายมากกว่าที่เราคิด ดูเหมือนว่าลุงไม่มีความต้องการอะไรมากขนาดนั้น ขนาดขนมลุงยังบอกว่าไม่อยากรับไว้เลย
“พวกสามล้อ แม่ค้า และ คนที่เดินไปมาทุกคนเค้ามีความทุกข์มากกว่าลุงทั้งนั้น เพราะเค้ามีภาระเยอะ หนี้สินเยอะ ยิ่งคนที่มีครอบครัวยิ่งหนักไปใหญ่”
ดูเหมือนว่าชีวิตของคนไร้บ้านจะหลุดออกจากระบบของสังคมไปเลย เค้าคือคนที่สิ้นทั้งภาระ หนี้สิน ตัวลุงเองก็ดูเหมือนว่าแกจะเลือกที่จะไม่ทำงานที่ต้องลงทุนอะไร เพราะแกมองว่าการไม่มีหนี้หรือภาระเป็นเรื่องอันประเสริฐ
สิ่งที่คนไร้บ้านต้องการมากที่สุดก็คงจะเป็นเงินที่เอามาจุนเจือชีวิตประจำวัน อย่างค่าอาหาร ค่าน้ำ หรือ ค่าเช่าบ้าน กรณีที่ต้องหาบ้านอยู่เพราะถูกไล่ไม่ให้นอนในที่สาธารณะ พวกของบริจาคเช่นขนม หรือ อาหารสำหรับลุงคงเกินกว่าความจำเป็น
เราแอบสงสัยว่าบัตรประชาชนยังจำเป็นสำหรับลุงไหม เราเป็นห่วงไปถึงการรักษาพยาบาล เบี้ยเลี้ยงคนชรา ถึงแม้ลุงจะไม่อยากได้ แต่เราว่าถ้ามีใครสร้าง Option ให้เค้าได้เลือกรับหรือไม่รับก็น่าจะดีนะ

ที่ไหนคือบ้าน? เราจำเป็นต้องมีบ้าน มี ‘ชีวิตที่ดี’ มั้ย
จากคำบอกเล่าของคุณลุง คนไร้บ้านส่วนใหญ่ที่เคยอาศัยอยู่ในสถานีหัวลำโพงได้ถูกห้ามไม่ให้เข้ามานอนแถวนี้แล้ว ส่วนตัวลุงเองก็ไม่ได้นอนที่นี่เหมือนกัน แล้วแกก็พยายามชี้ไปทางข้างหลังว่าแกมีที่นอนอยู่ทางโน้น (ซึ่งคือตรงไหนก็ไม่รู้)
สรุปได้ก็คือคนไร้บ้านแถวนี้ก็ต่างกระจัดกระจายกันไปหมดแล้ว บางคนก็กลับต่างจังหวัด บางคนก็ต้องพยายามเช่าห้องแม้รายได้จะไม่ค่อยเพียงพอ
ชีวิตประจำวันของลุงฟังดูเรียบง่าย ตอนเช้าแกจะไปช่วยรับบาตรกับหลวงพ่อที่วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากแถวนี้เท่าไหร่นัก มื้อเช้ากับมื้อกลางวันแกก็จะได้รับส่วนแบ่งมาจากวัดนี่แหละ
แกจะได้เงินค่าจ้างจากหลวงพ่อวันละหนึ่งร้อยบาท พอเสร็จงานจากวัดช่วงเย็นแกก็จะเดินมานั่งที่บริเวณนี้เป็นประจำถึงเวลาดึก ๆ แล้วก็จะเดินกลับไปหาที่นอน แกบอกกับเราว่าทางวัดไม่อนุญาตให้แกนอนที่นั่นเนื่องจากไม่มีห้องเพียงพอ ทุกกุฏิเต็มไปด้วยพระสงฆ์ทุกห้องแล้ว
“ลุงใช้เงินวันนึงไม่ถึงร้อยเล้ย..วันนึงก็ซื้อแค่น้ำดื่ม บางทีก็ซื้อบุหรี่บ้าง”
แค่ร้อยเดียวยังใช้ไม่หมดเลยหรอ ? สำหรับเราแค่อาหารหนึ่งมื้อก็ยังแทบจะไม่พอเลย ไหนจะน้ำ ไหนจะกาแฟ ไหนจะขนมอีก นี่ยังไม่นับวันที่ต้องกินเหล้านะ

เมื่อฟังคำพูดของลุง เราจึงเข้าใจความเป็นห่วงในแบบฉบับของคนที่เป็นผู้ใหญ่ ว่าการดูและใครสักคนมันเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักอึ้ง หากไม่มีเงินมากพอ เราก็คงไม่สามารถดูแลใครได้ และ มันยากมากที่จะกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ยืนยาว
ในฐานะที่ตัวเองเคยเป็นคนไม่เห็นคุณค่าของครอบครัว เราโตมาในบ้านที่พ่อที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของลูกสาวคนโต กับแม่ที่วางตัวเองกันไว้ที่ศูนย์กลาง ทำให้ตอนเด็กเราเคยคิดจะหนีออกจากบ้าน บางครั้งก็เลยไปถึงอยากจะจบชีวิตตัวเองไปเสียอย่างงั้น
คงเป็นเพราะพ่อเรายังอดทน และ เข้าใจสมาชิกทุกคนในครอบครัว ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะความรักที่ยังหล่อเลี้ยงบ้านของเรา ที่ทำให้ทุกคนยังให้อภัยซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ลองนึกดูว่าหากครอบครัวตัวเองแตกร้าวในระดับที่พ่อเราต้องตัดสินใจออกไปเป็นคนไร้บ้านมันจะเป็นยังไง เราคงอดเป็นห่วงไม่ได้
จินตนาการของเราคงต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้นทันทีที่ลุงทำท่าจะเดินหนีพวกเราไปเฉย ๆ แกคงเหนื่อยที่จะต้องตอบคำถามมากมายจากเรา หนำซ้ำยังเดินตามติดอยู่เป็นชั่วโมง
“ความรักมันก็เท่านั้นแหละ อย่าไปอะไรกับมันมาก ไม่เอาละ เดี๋ยวไปละ”
เราบอกลาลุงโดยการขอบคุณ และ ยืนส่งคุณลุงเดินจากไปอย่างช้า ๆ ลุงได้หายไปในความมืดของถนนแล้ว
เป็นไปได้ไหมว่าความเหงาคือจินตนาการของคนที่มีเงินและเวลา เพราะจากการเข้าไปลองอยู่ในโลกของลุงทำให้เราได้เห็นต้นเหตุของความทุกข์ว่าส่วนหนึ่งนั้นมาจากความอยาก ส่วนความเหงามันก็เป็นผลพวงที่ตามมาด้วย
ถ้าให้ตั้ง new year’s resolution สำหรับปีหน้า เราคงมีเป้าหมายที่จะอยากมีความสุขกับทุกการกระทำของชีวิต ความเหงาคงไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่อีกต่อไปหลังจากที่เราได้ฟังเรื่องของคุณลุง
แล้วของคุณละ มีสิ่งที่อยากเปลี่ยนแปลงในปีใหม่นี้ไหม?