นี่ไม่ได้เมคเรื่องหรือมโนขึ้นมาเอง เพราะมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาหลายชิ้น จนกลายเป็นทฤษฎีที่ทั่วโลกรับรู้กันว่าใครๆ ก็ชอบคนสวย หรือกลายเป็นลัทธิบูชาความสวยไปซะอย่างนั้น
แต่ในฐานะคนที่คลุกคลีกับเรื่องสวยๆงามๆ ด้วยอาชีพ ‘ครูฝึกสอนนางงาม’ อย่างฉัน บอกได้เลยว่า ‘สวยอย่างเดียวไม่พอ’ หรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วฉันก็คงไม่ต้องมาทำหน้าที่อย่างทุกวันนี้

คนสวยยุคนั้นก็เลย ‘พราวด์’ ว่าฉันสวย แต่กับยุคนี้มันไม่ใช่อีกต่อไป
หลายเวทีประกวดพยายามทำให้สังคมเห็นว่าการประกวดนางงามไม่ใช่การแข่งขันด้วยรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว แต่เน้นวัตถุประสงค์ที่เป็นเห็นเป็นรูปร่างชัดเจนมากขึ้น เช่น การรณรงค์เรื่องสิทธิและเสรีภาพของผู้หญิง ปัญหาโรคเอดส์ การต่อต้านสงครามและความรุนแรง ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม ให้เป็นความงามที่มาพร้อมกับคุณค่าและการทำประโยชน์เพื่อสังคม ดังนั้นเราจะเห็นว่าหลังๆนางงามบางคนที่ ‘มงลง’ จึงไม่ได้สวยเว่อร์ล้นฟ้า แต่หน้า ‘เก๋’ ‘เฉี่ยว’ ‘คม’ ‘หวาน’ ในแบบของตัวเองและการตีความของคนพูด เพราะความสวยมันเป็นปัจเจก คือแล้วแต่ผู้มอง แต่ความฉลาดนั้นเป็นเรื่องที่ ‘เป็นสากล’ กว่ามาก เพราะใช้มาตรฐานเดียวกันในการตัดสิน

ซึ่งต่อให้ไม่ได้เป็นนางงาม คนทั่วไปก็มีปัญหาเรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อย เชื่อไหมว่าหลายครั้งที่ฉันได้ยินเพื่อนที่ทำหน้าที่ฝ่ายบุคคลบอกว่าบางคนดูหน้าตาดี แต่พอถึงเวลาสัมภาษณ์งานจริงๆ กลับพูดจา ‘ไม่เป็น’ หรือสื่อสารไม่ได้ หรือพูดออกมาก็แทบจะเอามือกุมหัว เพราะพูดวกไปวนมาหาทางจบไม่ลง บางคนพูดห้วน ไม่มีหางเสียง ถามคำตอบคำ ไม่มีเหตุผล จากที่เคยสนใจก่อนเพราะหน้าตาดี กลับได้ความรู้สึกตรงกันข้ามมาแทน ทำให้พลาดโอกาสที่ควรจะได้ไปอย่างน่าเสียดาย
สวยหล่อแค่ไหน แต่ทำงานไม่ได้ก็ต้องเซย์โนนะคะ !

ดังนั้น ‘ความฉลาด’ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งคุณไม่สวยเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งใช้ ‘ความฉลาด’ มาทำให้ตัวเองสวยได้มากขึ้นเท่านั้นอีกเหมือนกัน
‘ความฉลาด’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่สิ่งที่คิดอยู่ในหัว แต่รวมไปถึงวิธีการวางตัว และวิธีการพูดที่สะท้อนออกมาเป็นกิริยาท่าทาง ซึ่งสมัยนี้ต่อให้สวยแค่ไหน ถ้าหากพูดไม่เป็นก็ไปถึงดวงดาวไม่ได้แน่ๆ

เชื่อมั้ยว่าแฟนนางงามส่วนใหญ่จะจดจำนางงามที่พูดดี ตอบคำถามเก่ง และดูฉลาดได้มากกว่านางงามที่มีแค่ความสวย ทัศนคติที่ดีจึงเป็นของสำคัญที่ทำให้คนอื่นรับรู้ว่าเรามีมันสมองได้ง่ายที่สุด
ฉันมักสอนน้องๆนางงามที่เข้ามาเรียนว่า สิ่งสำคัญในการพูดให้เป็นนั้นมีอยู่ด้วยกันสามอย่าง คือ การออกเสียง เนื้อหาที่จะพูด และท่าทางขณะพูด ตอบให้ตรงประเด็นคือสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าใจความที่ต้องการจะสื่อ แล้วค่อยอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราคิดหรือตอบแบบนั้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคสรุปเพื่อย้ำสิ่งที่เราพูดไปทั้งหมด การพูดเกริ่นเยิ่นเย้อยืดยาวแบบชักแม่น้ำทั้งห้าหรือการท่องกลอนท่องคำขวัญก่อนตอบคำถามคือสิ่งที่ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง ใครๆฟังแล้วก็เบื่อ

ซึ่งนอกจากจะพูดให้ดีแล้ว การใช้สายตา หรือท่าทางก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน
คำพูดนั้นโกหกได้ แต่แววตาไม่เคยโกหก การสบตาจะทำให้คนที่เรากำลังคุยด้วยรับรู้ถึงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ การใช้ภาษากายด้านอื่นๆ ก็มีความสำคัญ เช่น การใช้มือประกอบการพูด การพยักหน้า การยิ้มหัวเราะ และแสดงอารมณ์ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้เราไม่น่าเบื่อสำหรับคนอื่น ถ้าเรากำลังพูดอยู่แต่สายกลับตาลอยไปที่อื่นคนฟังก็จะสับสนได้ว่าเราต้องการคุยกับใครหรือตั้งใจพูดหรือเปล่า การใช้สายตาให้ถูกต้องกับการสื่อสารในแต่ละโอกาสก็เป็นอีกเทคนิคที่คนเราต้องฝึกฝน ไม่จ้องแบบเขม็ง ไม่มองแบบไร้จุดโฟกัส หรือมองแบบสำรวจตรวจตาหาจุดจับผิดจนเกินไป

เขียนมาถึงตรงนี้ ฉันขอสรุปเอาไว้ให้เลยว่าคนทั่วไปชอบมองคนสวย แต่คนพูดแล้วดูฉลาดต่างหากที่ดูมีเสน่ห์กว่า เราทุกคนอยากเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ แต่นางงามทำให้เราเห็นภาพสะท้อนว่าคนที่ไม่ได้สวยมากแต่ฉลาดตอบคำถาม หรือเป็นคนพูดเก่ง ก็จะได้รับความเห็นใจจากคนอื่นด้วยเสมอ
สำหรับคนทั่วไป การมีบุคลิกภาพที่ดี พูดดี ตอบคำถามดูฉลาด ก็ช่วยเสริมเสน่ห์และมีประโยชน์กับเราทุกคน เพราะการมีรูปร่างหน้าตาที่ดีเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้เราดูมีเสน่ห์และน่าสนใจหรือมีภาษีมากเท่ากับการที่เรามีทัศนคติที่ดี เหมือนกับการที่มีคนบอกว่าคนเราสามารถเซ็กซี่ได้ที่ความคิด เพราะของพวกนี้มันสะท้อนจากวิธีคิดหรือทัศนคติออกมาเป็นท่าทางบุคลิกภาพ คำพูดคำจา จนทำให้เกิดออร่ากับเราได้เหมือนกัน