“เลือด” หรือ “โลหิต” คือยาที่มนุษย์ไม่สามารถผลิดขึ้นทางเคมีได้
ร่างกายพวกเรา มนุษย์ทุกคน คือโรงงานชั้นดีที่สามารถผลิตยาชนิดนี้ ขอแค่เราไปบริจาคสะสมใว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
เพราะตลอดมาจำนวนเลือดสำรองนั้นไม่เคยมีเพียงพอความต้องการ
นี่คือการเดินทางของ “เลือด” สสารที่มีปริมาณ 7-9% ของน้ำหนักตัวเรา
[End Of The Line | ปลายทางของ… ] เป็นซีรีส์ที่จะพาพวกเราไปพบปลายทางของสิ่งธรรมดา ๆ รอบตัวเรา แต่เมื่อเราไม่เห็น ‘ปลายทาง’ ของสิ่งเหล่านี้ เราอาจจะลืมอะไรบางอย่างไปได้

ถ้าใครคิดว่าตอนนี้โรงพยาบาลในประเทศไทยมีเลือดสำรองพอใช้ไม่ขาดมือล่ะก็ กำลังคิดผิดนะครับ เพราะจะว่าไปเราก็เพิ่งรู้เหมือนกัน หลังเข้าไปที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ไม่มีเลือดสำรอง แต่ว่าในหนึ่งวันจำนวนเลือดที่บริจาคยังน้อยกว่าจำนวนที่จำเป็นต้องใช้ซะอีก
ถ้าเปรียบว่าเงินสำรองในคลังคือหลักประกันด้านเศรษฐกิจของประเทศ เลือดสำรองในธนาคารเลือดก็คงจะไม่ต่างจากหลักประกันทางสุขภาพ, ความปลอดภัย, หรือใดใดก็ตามที่จะช่วยให้ใครก็ตามที่ต้องการใช้สามารถรอดชีวิตไปได้

ปัญหาการขาดแคลนเลือดเป็นสิ่งที่อยู่กับสังคมไทยมานาน เพราะว่าเลือดเป็นยารักษาโรคชนิดหนึ่งซึ่งไม่สามารถที่จะไปคิดค้นประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์เป็นกรรมวิธีอะไรทางเคมีแล้วเอามาให้ผู้ป่วยได้ คุณปิยนันท์ คุ้มครอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านจัดหาโลหิตและภาพลักษณ์องค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย หรือพี่หนิง บอกเราว่า
“เลือดไม่เหมือนพาราเซตามอลที่โทรบอกโรงงานว่าขอแสนเม็ดงี้ แต่เลือดต้องได้มาจากคนที่มีใจพร้อม อยากจะบริจาค กายพร้อม สุขภาพดี มาทั้งกายและใจ
โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ COVID-19 ระบาด ทำให้ต้อง Social distancing จากปกติที่ทางศูนย์บริการโลหิตฯ สามารถจ่ายเลือดได้ 75% ของจำนวนที่เบิก แต่ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดครั้งแรก วิกฤตคือจ่ายเลือดได้เพียง 26% ของจำนวนที่เบิกเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นทางศูนย์บริการโลหิตฯ จึงได้รณรงค์การบริจาคเลือดหลายรูปแบบ
เนื่องจากมีมาตรการ Work from Home ทำให้การบริจาคเลือดขาดแคลนไม่สามารถออกหน่วย ไปรับบริจาคเลือดในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จึงเปลี่ยนวิธีการด้วยการประสานไปรับบริจาคเลือดที่คอนโด และหมู่บ้านใหญ่ ๆ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิด ก็ขอความรวมมือไปรับบริจาคที่นั่น

เราเดินเข้ามาด้านในอาคารศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ในช่วงสาย ๆ ภาพตรงหน้าเราคือห้องโถงกว้าง ๆ ที่มีเก้าอี้ว่างมากกว่า 90% พร้อมกับตัวเลขจำนวนที่ติดอยู่หน้าห้องสำหรับบอกจำนวนผู้ที่เข้าห้องแพทย์คัดกรองที่มีอยู่ 2 ห้อง ตอนนี้ตัวเลขรันไปประมาณ 200 คนนิด ๆ (ภาพนี้ถ่ายตอนเกือบเที่ยง) ซึ่งจำนวนผู้ที่ผ่านการคัดกรองก็จะน้อยลงไปอีก มีหลายคนต้องกลับบ้านเพราะไม่ผ่านการคัดกรองสุขภาพ
สาเหตุที่ต้องคัดกรองสุขภาพของผู้บริจาคเลือดก่อนทุกครั้ง ก็เพื่อตัวผู้บริจาคเลือดเอง เพราะถ้าไม่ได้ เตรียมตัวความพร้อมของสุขภาพ จะเกิดผลเสียต่อผู้บริจาคเลือด และจะส่งผลกระทบกับผู้รับเลือด คือ ได้เลือดที่ไม่มีคุณภาพ หรืออาจเกิดผลเสียกับผู้ป่วยได้
เพราะฉะนั้นในกระบวนการคัดกรอง ผู้บริจาคจะต้องตอบคำถามด้วยความเป็นจริง

ผู้บริจาคควรจะคัดกรองตัวเองจากที่บ้านก่อน ว่าใจกับกายพร้อมมั้ย คือ มีความกลัวหรือเปล่า มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่ศูนย์บริการโลหิตฯ กำหนดหรือเปล่า เช่น อายุ น้ำหนัก ฯลฯ
จากนั้นจะมาคัดกรองจากแบบสอบถามที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โดยตอบคำถามตามความเป็นจริงทุกข้อ กินยาอะไรมา มีพฤติกรรมเป็นอย่างไร ฯลฯ
หลังผ่านการคัดกรองด้วยคำถามแล้ว ก็จะต้องเข้าห้องไปเจาะปลายนิ้วดูความเข้มข้นของเลือด ผู้หญิงก็ต้องอยู่ในเกณฑ์ 12.5 – 16.5 กรัมต่อเดซิลิตร ผู้ชายก็อยู่ในเกณฑ์ 13 – 18.5 กรัมต่อเดซิลิตร
ถ้าผ่านตรงนี้ไปก็ต้องไปคัดกรองด้วยบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งจะมีการถามคำถามเพิ่มเติมที่ละเอียดขึ้นและมีการวัดความดัน เมื่อผ่านขั้นตอนทุกอย่างจึงจะได้บริจาคเลือด

การบริจาคแบ่งเป็น 2 รูปแบบ แบบแรกคือการบริจาคแบบโลหิตรวม ( Whole Blood ) ซึ่งการบริจาคแบบนี้ จะนำไปปั่นแยกเป็นส่วนประกอบโลหิตได้อีก 3 ส่วนเป็นอย่างน้อย คือ เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด พลาสมา ฯลฯ สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยได้หลายโรค เป็นการใช้เลือดได้คุ้มค่าสูงสุด

หลังบริจาคแล้วทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติจะนำตัวอย่างเลือดไปตรวจหาหมู่เลือด และตรวจโรคไวรัสตับอักเสบ B กับ C ซิฟิลิส และ HIV โดยตรวจทุกครั้งที่บริจาค ถึงแม้จะเคยมาบริจาคหลายครั้งแล้วก็ตาม
เมื่อผ่านการคัดกรองถึงหลายชั้น ทำให้ผู้รับเลือดสามารถมั่นใจได้ว่าตนเองจะได้รับเลือดที่มีคุณภาพและปลอดภัย

มีหลายครั้งที่บางคนก็ยอมโกหกเพื่อที่จะได้รับบริจาค ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลเสียมากกว่าผลดี
“เพราะเราต้องเอาเลือดที่ปลอดภัยที่สุดให้กับผู้ป่วย ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติเป็นศูนย์กลางที่จะนำบุญกุศลที่คุณทำส่งต่อไปให้กับผู้ป่วย คุณจะได้บุญหรือไม่ได้บุญก็อยู่ตรงนี้แหละ ถ้าคุณสุขภาพไม่ดีคุณบอกว่าคุณกินยาตัวนั้นตัวนี้มาแต่คุณไม่บอกเรา แต่ปรากฏว่าผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาตัวนั้น จะทำอย่างไร.. มันอยู่ในกระแสเลือด”
พี่หนิงบอกกับเราแบบนี้ และนั่นทำให้เราคิดว่าการที่มีคนนำเรื่องบุญมาผูกกับการบริจาคเลือด เพราะเมื่อทุกคนคิดว่าตัวเองมาด้วยเจตนาดี ทำไมถึงไม่รับเลือดฉัน วันนี้เป็นวันเกิดฉัน ฉันอยากได้บุญ จนบางครั้งไม่ยอมบอกความจริง ดังนั้นการมาบริจาคเลือดควรจะตั้งต้นมาด้วยจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบสังคม เพราะแนวคิดแบบนี้จะดีและปลอดภัยกับทั้งผู้ให้และผู้รับมากกว่า

การบริจาคอีกแบบหนึ่งคือการบริจาครายเดียว (Single Donor) ซึ่งแทนที่จะนำเลือดทั้งหมดไปปั่นแยกทีหลัง การบริจาคเฉพาะส่วนก็จะนำออกไปแค่ส่วนที่ต้องการบริจาค มีทั้งบริจาคเฉพาะเม็ดเลือดแดง พลาสมา และเกล็ดเลือด
อย่างในภาพคือการบริจาคเกล็ดเลือด ซึ่งเครื่องจะปั่นแยกออกมาเป็นส่วน ๆ แต่นำไปแค่ ‘เกล็ดเลือด’ ส่วนที่เหลือก็จะส่งกลับคืนเข้าไปในร่างกายเหมือนเดิม
ในการบริจาคแบบเลือดรวมจะต้องใช้ผู้บริจาคถึง 4 คนในการรวมเกล็ดเลือดให้ได้ 1 ยูนิต แต่การบริจาคแบบรายเดียวจะใช้ผู้บริจาคเพียง 1 คน สำหรับเกล็ดเลือด 1 ยูนิต โดยเกล็ดเลือดนี้จะสามารถเก็บได้เพียงแค่ 3-5 วันเท่านั้น แต่ผู้บริจาคแบบรายเดียว จะต้องมีประวัติการบริจาคแบบโลหิตรวมก่อน
เกล็ดเลือดจะนำไปรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกไม่หยุด เช่น โรคไข้เลือดออก มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจำนวนมาก เช่น จากอุบัติเหตุ การผ่าตัด เป็นต้น *

“ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าที่ถ้าเราบริจาคเลือด เลือดที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เนี่ยมันจะดีขึ้น มันทำให้สุขภาพเราดีขึ้น”
พี่หนิงบอกว่าการบริจาคเลือดทำให้สุขภาพและผิวพรรณของผู้บริจาคดีขึ้น เพราะนอกจากจะต้องดูแลตัวเองก่อนมาบริจาคแล้ว หลังบริจาคเสร็จไขกระดูกก็จะสร้างเม็ดโลหิตใหม่ขึ้นมาเพราะว่าของเก่าถูกบริจาคออกไป
เลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกาย 4,000 – 7,000 หรือถ่ายใครมองไม่ออกก็สมมติว่าเลือดมีอยู่ในร่างกายประมาณ 18 แก้วน้ำ แต่ใช้หมุนเวียนจริง ๆ 16 แก้ว อีก 2 แก้ว ไม่ได้ใช้ ซึ่ง 2 แก้วนั้นมันสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ ก็ควรไปบริจาค และพอผ่านกระบวนการนี้เราก็จะได้เลือดใหม่ 2 แก้ว เข้ามาหมุนเวียนในร่างกายแทน
“เหมือนเรา Maintenance ร่างกายเราใช่มั้ยครับ?”
“ช่ายยย ใส่น้ำมันเครื่องดี ๆ ไป เครื่องก็ทำงานดี”
“เรื่องนี้คนยังไม่ค่อยรู้กันใช่มั้ยครับ?”
“โอ้ คนยังไม่ค่อยรู้หรอก ช่วยทำให้คนรู้หน่อย อยากผิวพรรณดีอะไรอย่างงี้ก็มาบริจาคเลือดเถอะ” พี่หนิงตอบเราทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงติดตลก

ปัจจุบันช่วงอายุที่มาบริจาคเยอะที่สุดคือ 31-40 ปี เด็กอายุ 17-20 ปี บริจาคโลหิตเพียงแค่ 8% ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ศูนย์บริการโลหิตฯ พยายามกระตุ้นให้เยาวชนบริจาคมากขึ้น ต้องทำให้เยาวชนเห็นความสำคัญของเลือดมากขึ้น
คือผู้บริจาครายใหม่ ถ้าอายุครบ 17 ปี ก็สามารถบริจาคได้ทันที ส่วนผู้บริจาคประจำ พอครบ 3 เดือนก็บริจาคต่อได้ทันที โดยเฉพาะเยาวชน เพราะเยาวชน ถ้าเริ่มเร็วก็จะสามารถบริจาคเลือดได้อีกยาวนาน ดังนั้นทุกคนก็มีส่วนช่วยเหลือส่วนรวมได้เช่นกัน ผ่านการบริจาคเลือด

การผ่าตัดจำเป็นจะต้องใช้เลือด หากไม่มีเลือดการผ่าตัดนั้นก็จำเป็นจะต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะว่ามีเลือดอยู่จำนวนจำกัด
“แต่อุบัติเหตุเลื่อนไม่ได้นะคะ โรคเลือดเลื่อนไม่ได้ คือผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ป่วยเค้ารับเลือดบางทีอาทิตย์ละครั้ง สองอาทิตย์ครั้ง สามอาทิตย์ครั้ง สี่อาทิตย์ครั้ง หรือสองเดือนครั้งแล้วแต่ ในกลุ่มนี้คือเขาต้องรับเลือดตลอดชีวิต” พี่หนิงอธิบายถึงความจำเป็นที่เราควรมีเลือดสำรองไว้
พอมาคิดตาม ยังมีหลายคนที่ ‘ประมาท’ ‘ขับรถผิดกฎจราจร’ หรือเคยชินกับการ ‘เมาแล้วขับ’ ก็คงจะต้องทบทวนตัวเองใหม่ เพราะการเกิดอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว มันอาจกระทบไปถึงใครหลายคนมากกว่าที่เราเห็นกันบนถนน

“อย่างช่วงสงกรานต์ ทำไมพี่ต้องทำโปรเจ็กต์ ทำไมพี่ต้องขอสำรอง น้องเคยเห็นข่าวมั้ยแล้งนี้ไม่แล้งน้ำใจ
พี่ขอสำรองเลือดก่อน 7 วัน จะไปเที่ยวไหนก็แล้วแต่ขอเชิญชวนมาบริจาคไว้ก่อนเนาะ เพื่อสำรองเลือด
ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศต้องการเลือดไปสำรองเพราะ ไม่รู้คุณจะไปเกิดอุบัติเหตุตรงไหน ถ้าไม่สำรองแล้วเกิดอุบัติเหตุ ด้วยระยะทางไกลกว่าคุณจะเบิกเลือดมา กว่าจะส่งเลือดไป ก็เสียชีวิตพอดี ไม่ทันเหตุการณ์”
สำหรับเราการมีเลือดสำรองยังไงก็เป็นสิ่งที่ดี แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าทุกคนมีสติมากขึ้น คิดถึงผลกระทบต่อส่วนรวมมากขึ้น มากกว่าความสบายส่วนตัว

“มันเคยมีเหตุการณ์ที่ ขาดเลือดมาก ๆ จนถึงขั้นที่บุคลากรในนี้ ต้องไปบริจาคเองมั้ยครับ?”
“ประจำ เราประกาศเจ้าหน้าที่ เฮ้ยช่วยกันหน่อย… ระดมพลบริจาค แล้วไม่ใช่เฉพาะศูนย์บริการโลหิตฯนะ ทั้งสภากาชาดไทยเราโทรไปทุกสำนักงาน เอ้า… PR แต่ละสำนักงานช่วยพี่หนิงหน่อย ตอนนี้ขาดเลือด ยิ่งช่วงโควิดแรก ๆ นี่ไม่รู้กี่รอบ” พี่หนิงตอบเรามาด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง
สำหรับเรามันเป็นเรื่องตลกร้ายที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ยังคงขาดเลือดจนถึงขั้นต้องมาบริจาคกันเอง จะว่าไปมันก็คล้าย ๆ กันงานดนตรีเล็ก ๆ ที่มีแค่นักดนตรีในงานผลัดกันมายืนดูวงอื่น ๆ เล่น

“พูดกันตรง ๆ ศูนย์บริการโลหิตฯ เนี่ยในหนึ่งวันต้องจัดหาเลือดให้ได้ 2,200 – 2,500 Walk in แต่ปัจจุบันผู้บริจาคโลหิต Walk in ได้วันละเท่าไหร่? ไม่ถึง 700 เลย”
พี่หนิงบอกกับเรา
ส่วนภาพนี้เราถ่ายไว้ประมาณบ่ายสามโมงกว่า ๆ ตัวเลขผู้บริจาคแบบโลหิตรวมที่ Walk in เข้ามายังมีเพียง 456 คน เท่านั้น

บรรยากาศการจ่ายเลือดเป็นไปอย่างมีระเบียบแต่ก็ดูวุ่นวายไม่น้อยเพราะเจ้าหน้าที่ทำงานกันไม่หยุดมือเป็นระวิงติดต่อกันหลายชั่วโมง
ภาพตรงหน้าคือรถตู้ของแต่ละโรงพยาบาลจอดเรียงกัน มีกล่องเก็บเลือดวางซ้อนกัน มีป้ายโรงพยาบาลติด บางโรงพยาบาลเราก็คุ้น ๆ ชื่อ บางโรงพยาบาลเราก็ไม่รู้จัก เมื่อถึงคิวเจ้าหน้าที่ก็จะเข็นรถเข็นกล่องเลือดเข้าไปรับด้านในห้อง ดูไม่ต่างจากแผนกจ่ายยาตามโรงพยาบาลทั่วไป แต่แค่ยาของที่นี่คือเลือด

ในกรณีที่มีคนไข้รับเลือดเป็นประจำ ร่างกายคนไข้จะสร้าง Anti body ซึ่งจะทำให้รับเลือดได้ยากขึ้น ทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จึงต้องมีการตรวจเลือดเป็นพิเศษ เพื่อ Match เคสและจ่ายให้ตามที่แต่ละโรงพยาบาลขอมา

ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่มีหมู่เลือดเป็นกลุ่ม Rh positive (99.7%) ดังนั้นเลือดกลุ่ม Rh negative (0.3%) จะถือเป็นหมู่เลือดพิเศษที่หายาก โดยปกติหมู่เลือด AB จะหาได้ยากที่สุด หรือมีประมาณ 8% เท่านั้น ดังนั้นหมู่เลือด AB Rh negative จึงหาได้ยากที่สุด หรือประมาณ 1.5 คน ใน 10,000 คนเท่านั้น **
ปัจจุบันศูนย์บริการโลหิตฯยังจ่ายหมู่เลือดหายากครบตามจำนวน และพอจะมีหมู่เลือดหายากสำรองไว้ส่วนหนึ่งด้วย สาเหตุก็เพราะที่ศูนย์บริการโลหิตฯมีข้อมูลของหมู่เลือด Rh negative ทั้งหมดในประเทศไทย ว่ามาจากที่ไหน จึงสามารถจะโทรเชิญให้มาบริจาคได้ หรือในเวลาเร่งด่วนก็จะมีรถไปรับบริจาคถึงที่

เราเห็นเจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ เดินไปหยิบถุงเลือดอย่างกระฉับกระเฉงและแม่นยำ ทำเอาห้องขนาดกลางที่มีคนอยู่ 7-8 คน ดูวุ่นวายขึ้นมาทันที แม้แต่เราที่เข้าไปถ่ายก็กลัวจะไปขวางทางใครเหมือนกัน เพราะถ้าเราเผลอไปชนใครเข้าแล้วเขาทำถุงเลือดหลุดมือ เราคงรู้สึกผิดไปอีกนาน ฮ่า ๆ

ไม่ทันไรเลือดในตู้ก็เริ่มร่อยหรอลง เรายืนสังเกตดูพี่ ๆ ทุกคนทำงานอยู่ตรงแถวมุมห้องไปด้วย ถ่ายรูปไปด้วย ไม่ทันไรก็มีถุงเลือดชุดใหญ่ถูกเข็นเข้ามา พี่ ๆ ก็มาช่วยกันเติมเข้าตู้ จำแนกตามประเภทเพื่อให้เป็นระเบียบและง่ายต่อการหยิบใช้ แต่ถึงถุงเลือดที่เข้ามาจะดูเยอะ แต่นั่นก็เป็นแค่เพียง 75% (ข้อมูลจากวันที่สัมภาษณ์ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2564) ของปริมาณที่โรงพยาบาลเบิกเท่านั้น
ปัจจุบันเลือดยังขาดอีกเยอะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าเข้ามาบริจาคแล้วจะเกินปริมาณที่ต้องใช้แล้วจะเหลือทิ้งแบบที่ใครหลายคนกังวล (รวมถึงเราด้วย) ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าบริจาคไปจะไม่ได้ใช้ ถ้ากายพร้อมใจพร้อมก็ลุยได้เลย
ถ้าให้ดีเมื่อครบรอบก็ควรมาบริจาคเป็นประจำ สม่ำเสมอทุก 3 เดือน

การบริจาคเลือดเป็นประจำนอกจากจะดีกับส่วนรวมแล้วยังดีกับตัวเองด้วย และที่สำคัญในภาวะที่เลือดขาดตลาดพอ ๆ กับเซิร์ฟสเก็ตแบบนี้ เรายิ่งไม่ควรจะประมาท (จะตอนไหนก็ไม่ควรประมาท) เพราะนอกจากอุบัติเหตุจะทำให้เราและคู่กรณีลำบากแล้ว ผลพวงอาจตามมาถึงคนไข้บางรายที่ต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไป
*, ** blooddonationthai.com