Disposable Me: (กล้อง) ใช้แล้วทิ้ง: คนติดป้าย Billboard

[Disposable Me / (กล้อง)ใช้แล้วทิ้ง]

เป็นซีรีย์ที่เอากล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้งไปฝากให้คนแปลกหน้าถ่าย เพื่อเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเขา ที่แม้แต่เราเองก็อาจจะนึกไม่ถึง

Roll #5: [คนติดป้าย Billboard]

“เรียนสูงหรือไม่สูงก็เสี่ยงเหมือน ๆ กันแหละ ยุคนี้อะเกาะงานเอาไว้ให้แน่นดีที่สุด” 

พี่เหน่ง นักติดตั้งป้ายบิลบอร์ดมากฝีมือบอกกับเรา

งานในฝันของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนเลือกที่ค่าตอบแทน บางคนเลือกที่ความก้าวหน้า บางคนเลือกที่การได้เส้นสาย แต่บางคนอย่างเช่น ‘พี่เหน่ง’ คงจะไม่ผิดอะไรที่เลือกงานที่ให้ ‘ความสบายใจ’

คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก

ถึงร่างกายจะต้องเสี่ยงไปบ้าง(ก็ไม่บ้างหรอก เสี่ยงไปเยอะเลย) แต่ถ้าจิตใจมันไม่ว้าวุ่น ทุกอย่างโอเค

ในโลกแห่งทุนนิยม เชื่อหลายคนคงเคยเห็นป้ายโฆษณาบิลบอร์ดผ่านตากันมาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปดาราหนุ่มสาวหรือเป็นข้อความโฆษณาที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง

ไม่รู้ว่าเราเป็นคนแปลกมั้ย แต่สำหรับเราพอเราใช้เส้นทางไหนประจำก็มักจะต้องเห็นป้ายป้ายหนึ่งซ้ำ ๆ จนบางทีเราก็เกิดรู้สึกผูกพันกับภาพดาราที่เป็นฟรีเซนเตอร์เครื่องสำอางอยู่บนป้าย…

ใช่ ๆ คุณไม่ได้ตาฝาดอ่านผิดหรอกครับ คือมันเหมือนกับว่าเราเห็นหน้าใครซ้ำ ๆ กันทุกวันในเวลาเดิม ๆ นั่นแหละ แล้วมาวันนึงอยู่ดี ๆ บริษัทเครื่องสำอางก็เปลี่ยนพรีเซนเตอร์ทำให้รูปดาราคนเดิมถูกปลดออก

ไอ้เจ้าป้ายใหญ่ยักษ์มหึมาที่มักจะเป็นจุดเด่นเวลาเรานั่งรถนี่แหละที่มอบงานให้กับคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ เรามักเห็นภาพบนป้ายเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่ก็คงจะจินตนาการไม่ออกอยู่ดีว่าป้ายพวกนี้เปลี่ยนยังไง แล้วคนเปลี่ยนต้องรับความเสี่ยงแค่ไหน เพราะสำหรับ ‘พี่เหน่ง’ นักติดตั้งป้ายบิลบอร์ดที่เรากำลังจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักนี้ งานที่ดูเหมือนจะอันตรายงานนี้นี่แหละ ‘คือเซฟโซน’ สำหรับเค้า

“มันก็เสี่ยงหลาย ๆ อย่าง ช่วงหน้าฝนนี่ถ้าเราติดงานอยู่ข้างบนเราก็ยังลงมาไม่ได้อะครับ แล้วก็เสี่ยงต่อพวกฟ้าผ่าอะไรแบบนี้อะครับ กก้เสี่ยงหลาย ๆ อย่างอะครับ ลื่นด้วย แต่ถ้าฝนตกก่อนที่เราจะขึ้นไปทำมันก็…ยังพอหลบได้ใช่มั้ย ต้องรอจนกว่าโครงจะแห้ง เราถึงจะขึ้นไปทำงานกัน แต่ถ้าขึ้นไปทำแล้วมันตก ก็ต้องทำกลางฝนเลยไม่งั้นก็จะเสียงาน” 

พี่เหน่ง นักติดตั้งบิลบอร์ดมือฉมังนั่งลงข้าง ๆ เราบนโซฟาเล็ก ๆ ก่อนจะ ’เปิดใจ’ เล่าประสบการณ์การทำงานกว่า 19 ปีให้ฟัง นอกจากงานนี้จะมีความเสี่ยง ความท้าทายจนดูไม่มั่นคงกับชีวิตตัวเองเท่าไหร่ ในทางกลับกัน เรากับพบว่างานนี้ไม่ใช่งานที่ใครคิดจะทำก็ทำได้ เพราะต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว ความกล้า และประสบการณ์อย่างมาก

นั่นแปลว่า แม้ในบางมุมชีวิตพี่เหน่งอาจจะดูไม่มั่นคง แต่ในอีกมุมพี่เหน่งกลับมีความมั่นคงในอาชีพอย่างไม่ต้องสงสัย

เรารู้ทีหลังว่าที่จริงพี่เหน่งป้วนเปี้ยนอยู่ในแวดวงการติดป้ายบิลบอร์ดตั้งแต่เด็กแล้วเพราะว่าเห็นพ่อทำตั้งแต่เด็ก ความผูกพันกับอาชีพนี้จึงเกิด พ่อพี่เหน่งเสียไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำงานนี้จะช่วยให้พี่เหน่งหายคิดถึงพ่อหรือเปล่านะ

งานนี้ก็ดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ได้มีอุปสรรคอะไรมาก บทจะง่ายก็ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก อาจเป็นเพราะความชำนาญของทีมด้วย ถ้าใครลองสังเกตดี ๆ จะเห็นคนตัวเล็ก ๆ อยู่ด้านบนแผ่นป้าย

“เริ่มจากโครงเปล่า ๆ ให้นานสุดเนี่ยไม่เกินชั่วโมงอะ ถ้าไม่มีอุปสรรคอะไร ยกเว้นว่าลมมันแรง ลมแรงเนี่ยมันจะล็อคข้างล่างไม่ได้ เราก็จะยังไม่ปล่อยผ้าลงมา ถ้าไม่งั้นลมอาจจะกระชากแล้วผ้าขาด เราก็จะนั่งเล่นกันข้างบนรอให้ลมนิ่งก่อน”

อย่างงี้ม้วนนึงนี่หนักเท่าไหร่?

“มันอยู่ไซซ์ อยู่ที่ผ้าด้วยครับ ผ้าหนาผ้าบาง ก็ไม่หนักไม่เท่ากัน อย่างม้วนเล็ก ๆ ก็ร้อยกว่า สองร้อย”

พี่เหน่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ อาจจะด้วยความชำนาญทุกอย่างมันเลยฟังดูกลายเป็นเรื่องง่ายไปหมดสำหรับพี่เหน่ง แต่สำหรับเราที่จินตนาการตาม คงรู้สึกว่าตัวเองคงจะถอดใจตั้งแต่การสาวไวนิลแผ่นยักษ์ขึ้นไปข้างบนแล้วแหละ

ผลตอบแทนมันคุ้มค่ามั้ย กับความมั่นคงในงานที่ไม่มีใครมาแย่งเราได้? เราชักสงสัยว่าเจ้าตัวจะคิดยังไง

“ถ้าเอาความคิดคนทั่วไปก็อาจจะคิดว่าค่าแรงคงไม่พอใช้มั้ง แต่สำหรับผมผมแล้วแต่ ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ เพราะคงไม่ได้ทำอะไรแล้ว เพราะหนึ่ง เค้าไม่มาจู้จี้จุกจิกกับเรา เราแค่มารับงาน เราทำเสร็จเร็วแค่ไหนเราก็เป็นอิสระเร็วขึ้นแค่นั้น 

มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนในทีมร่วมใจกันทำแค่ไหน บางทีผมรับงานมาเก้าโมง บ่ายโมงผมกลับบ้านแล้ว มาบวกลบคูณหาร หักลบกับค่าแรง ความเสี่ยงแล้ว ก็คิดว่าได้อยู่นะ แถมถ้าเราเลิกช้าเค้าก็ให้โอทีเรา”

บทสนทนาของเรากับพี่เหน่งยังคงลื่นไหลต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ บนโซฟาภายในห้องไม่มีหน้าต่างที่ฉาบไปด้วยปูนทาสีขาว เราหยิบน้ำในแก้วขึ้นมาจิบอีกนิดก่อนจะหันไปถามพี่เหน่งต่อ

ขึ้นไปนี่เจออะไรแปลก ๆ มั่งมั้ยพี่ แบบพวกนกทำรัง

“เจอแน่นอนครับ ที่แปลกกว่าคือเจอแตนเยอะมาก” เริ่มมีน้ำเสียงตื่นเต้นโผล่ออกมาในน้ำเสียงของพี่เหน่ง สายตาพี่เหน่งเปิดกว้างขึ้นและดูท่าจะสนใจอยากเล่าให้เราฟังมากกว่าทุก ๆ คำถามที่ผ่านมา

แตนเหรอพี่?

“ใช่ นี่แหละศัตรูของคนติดป้าย”

ทำไงกับมันอะพี่

“ก็หนีแหละครับ”

หนียังไงอะ?

“พอปีนขึ้นไปแล้ว ถ้าเราโดนต่อยก็หนีเลย หรือไม่ก็พอพ้นไปแล้วก็ใช้เหล็กเขี่ยรังมันออก แต่ส่วนมากขึ้นไปก็ต้องไปเสี่ยงหน่อย เพราะไม่รู้ว่าเค้าอยู่ส่วนไหนของโครง”

แต่ว่ามีแน่ ๆ?

“มีแน่ ๆ เกือบทุกโครง ขึ้นไปต้องไปเสี่ยงก่อน บางทีเห็น ๆ กันแล้วถ้าผมเห็นก่อนก็จะบอกเพื่อนว่าตรงนี้มีรังแตน ก็จะเขี่ยนออก หรือไม่งั้นหนักหน่อยก็เจอรังต่อ อะไรแบบนี้”

แล้วพี่เคยโดนต่อยปะ?

“ประจำ เพราะว่าอาชีพผมจะถูกโฉลกกับแตนมากเลย ขึ้นไปโดน โดนประจำ”

โดนจนชินแล้วอะดิพี่

“ใช่ครับ…มันก็ไม่ได้หนักหนา เค้ามาต่อย เรารู้สึกตัว เราก็แค่โดดไปอีกช่องนึง”

มันไม่หนักหนาเหรอพี่? ไม่เจ็บเหรอ?

“เจ็บ บางทีก็บวม โดนหน้าบวม ล่าสุดก็แถวบางใหญ่นี่แหละ เต็มหัว จะเดินไปล็อกเชือกพอดีแต่ไม่เห้น ก็เต็มเลย

เรื่องอื่นไม่มีปัญหาหรอก มีแค่พวกแตนนี่แหละ ที่เราไม่สามารถทำอะไรเค้าได้เลย ถึงเราเขี่ยไปแล้ว อีกอาทิตย์สองอาทิตย์กลับมาทำ มันก็กลับมาอยู่ใหม่ได้ ใครจะไปรู้ แถมรังก็จะกลมกลืนกับสีเหล็กมาก

แต่เวลาขึ้นก็จะมีเทคนิคหน่อย คือเอาค้อนเคาะเหล็ก ตุ้ม ๆ ๆ ๆ เค้าก็จะแตกตัวออกมา เราก็จะรู้ว่าเค้าอยู่ตรงไหน แต่ส่วนมากมันเป็นช่วงเผลอ ๆ มากกว่า แบบคิดว่าไม่ีอะไรพอขึ้นไปก็โดนซักตัวสองตัว ถือว่าเตือนสติในการขึ้นโครง ให้สมองมันตื่น”

พี่เหน่งหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีด้วยท่าทีสบาย ๆ คงเป็นเพราะว่า ‘เจอมาจนชิน’ นั่นแหละ ต่างจากเราที่จินตนาการตามไปด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ไปด้วย

พี่เหน่งเล่าให้ฟังว่าก่อนอื่นก็ต้องเข้าไปรับงานที่โรงงานตั้งแต่ช่วง 8-9 โมง เพื่อจะนำป้ายไวนิลไปติดตั้ง บางวันก็ติดสองป้าย บางวันก็ติดป้ายเดียว สำหรับวันไหนที่โชคได้ติดแค่ป้ายเดียวก็จะเลิกงานตั้งแต่บ่ายโมงหรือบ่ายสอง

จะว่าไปก็เวลาว่างเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าเป็นเราก็คงนอนดูซีรีส์ใน Netflix ได้อาทิตย์ละ 2-3เรื่องเลย ชักเริ่มเข้าใจเซฟโซน (ที่ไม่เซฟ) ของพี่เหน่งมากขึ้นแล้วสิ

พี่เหน่งเล่าต่อว่าวิธีการทำงานคือจะต้องช่วยกันดึงไวนิลแผ่นใหญ่ยักษ์ขึ้นไปด้านบนเพื่อล็อกติดกับด้านบนแล้วปล่อยคลี่ชายลงมาเพื่อให้คนคอยอยู่ด้านล่างโครงป้ายเอาชายด้านล่างล็อกติดกับโครง ก็เป็นอันเสร็จงาน

แต่บางทีกว่าภารกิจจะสำเร็จลุล่วงก็กินเวลานานกว่าที่คิด เพราะนอกจากจะต้องท้าแรงโน้มถ่วงสู้กับน้ำหนักของตัวป้ายไวนิล สู้กับแสงแดด ลมแรง สายฝน หรือแม้แต่ฝุ่น PM 2.5 ที่ทำให้เกิดอาการแสบตา นี่ยังไม่นับลูกค้าเรื่องมากที่นาน ๆ ทีจะต้องเจอเหมือนกัน จนพี่เหน่งถึงกับบอกกับเราว่ายอมสู้กับฟ้ากับฝนยังดีซะกว่า

ตอนปีนขึ้นพอมองลงมาแล้วเป็นไงบ้างครับพี่?

“แรก ๆ มันก็เสียวอะ เห็นกล่องไม้ขีดวางแล้วเรามองลงมาจากที่สูงปะ นั่นแหละ บางโครงที่มันอยู่ด้านบนตึกสูง ๆ นะ ก็เห็นรถยนต์เล็กประมาณเท่านี้แหละ แรก ๆ ถ้าไม่เคยปีนขึ้นไปก็ขาสั่นทุกคนครับ”

พี่เหน่งคงไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะเราก็ไม่เคยปีนขึ้นไปด้วยสิ แต่เอารถมาเทียบกับกล่องไม้ขีดก็ถึงได้เห็นภาพ เราคิดว่าความรู้สึกคงต่างกับมองออกจากระเบียงบนตึกสูงแน่นอน เพราะบนป้ายบิลบอร์ดสำหรับเรามันทั้งแคบ ดูไม่มั่นคง แถมต้องเดินเหยียบลงไปบนเหล็กที่เล็กกว่ารองเท้าเราซะอีก นี่ยังไม่รวมลมหรือฝนที่คอยสร้างอุปสรรคให้กับงานและชีวิตด้วยแล้ว 

สารภาพตามตรงว่าตอนที่เขียนวรรคก่อนหน้า แค่เราลองจินตนาการว่าตัวเองอยู่บนป้ายบิลบอร์ดแล้วถ่ายภาพนี้ ฝ่ามือฝ่าเท้าก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อไปหมด

“ตอนขึ้นไปแล้วเรานั่งอยู่กับที่  บางทีมันเหมือนตอนเรานั่งเรือ เคยเห็นสายน้ำมันไหลมั้ย เมฆมันวิ่ง ก็เหมือนกัน บางทีเราเห็นรอบข้างมันสัมผัสตัวเราไหลผ่านไป แต่มันไม่มีอะไรหรอก เราคิดไปเอง พอขึ้นไปทีมงานก็จะช่วยเตือนสติกัน ถ้าใครป่วยหรือไม่ไหวก็จะให้ลงแล้วให้คอยเซ็ตงานข้างล่างเลย” พี่เหน่งเล่าถึงอันตรายจากอาการเพลียแดดหน้ามืดให้เราฟัง มันทำให้เรายิ่งรู้สึกว่างานนี้อันตรายเหลือเกิน

พี่เหน่งเล่าว่านอกจากรายได้ของครอบครัวจะมาจากการติดป้ายโฆษณาบิลบอร์ดแล้วยังมีร้านอาหารของแฟนที่นครปฐมอีกด้วยเพราะพี่เหน่งเชื่อว่ารายได้ไม่ควรจะมาแค่ทางเดียว ไม่งั้นถ้าเกิดมีวิกฤตอะไรขึ้นมาแล้วมันกระทบงาน รายได้จะหายไปหมด

แบบนี้กลับไปอยู่นครปฐมกับแฟนปะเนี่ยพี่?

“ก็ต้องอยู่กับแฟน เพราะผมซื้อที่ซื้อบ้านอยู่ตรงนั้นอีกหลังนึง ตอนนี้ก็ทำส่งไปก่อน ตอนนี้มีแรงก็หาวิชาชีพเสริม ผมก็ไปเรียนจากศูนย์ฝึกวิชาชีพช่วงเสาร์ อาทิตย์ เรียนซ่อมพัดลม ช่างตัดผม ช่างไฟฟ้า แต่ตอนนี้ช่างไฟฟ้ากับพัดลมผมผ่านแล้ว ตอนนี้เรียนช่างตัดผมอยู่ แต่ผมว่าผมจะยึดเอาช่างตัดผมนี่แหละ 

ตอนที่ผมทำอาชีพตรงนี้ไม่ไหวแล้วก็จะกลับไปที่บ้าน ไปเปิดร้านเล็ก ๆ ก็อยู่ได้แล้วครับ

คิดไว้ว่าบริษัทนี้เค้าไม่เลี้ยงเราจนแก่ เราหมดประโยชน์แล้วเค้าก็ไม่เลี้ยงเราอยู่เหมือนลูกหรอกครับ ใช่มั้ย?”

แล้วพี่ไม่คิดว่าบริษัทจะให้พี่ขึ้นเป็นหัวหน้าเหรอ?

“ไม่หรอกครับ แต่ในความคิดผม ถ้าให้เป็นหัวหน้าผมก็ไม่อยากเป็นอยู่แล้ว ความรับผิดชอบมันเยอะ”

คือประมาณนี้กำลังดี?

“ที่ทำอยู่ในทีมติดตั้งนี่ไม่มีใครเป็นหัวหน้า ให้บอกตัวเองกันเอาเอง”

คิดว่าตอนนี้พี่มั่นคงมั้ย กลัวโดนไล่ออกมั้ย ? 

“ถามว่ามั่นคงมั้ย ที่ทำกับบริษัทนี้ก็ถือว่ามั่นคงแล้ว ตั้งแต่ยุค40 ฟองสบู่แตก ที่อื่นเค้าปิดตัวลง แต่ที่นี่ยังเลี้ยงลูกน้องมาได้ถึงตอนนี้ ก็ถือว่าโอเคแล้ว มั่นคงในระดับหนึ่ง แต่ในความคิดผมคือเค้าคงไม่เลี้ยงเราจนแก่หรอก ใช่มั้ย? แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะมาทำงานนี้ก็ได้นะแค่พอเราหมดประโยชน์ก็คงเหมือนบริษัททั่วไป เค้าก็ต้องปลดเกษียณ”

จากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤต COVID-19 ทำให้มีคนว่างงานราว ๆ 8.3 ล้านคน ยังไม่รวมกับบันฑิตจบใหม่ในปีพ.ศ. 2564 อีกเกือบ ๆ 500,000 คน ที่อาจได้รับผลกระทบและต้องว่างงานไปอีกซักระยะ ก็คงแถว ๆ ปีพ.ศ. 2565 นี่แหละที่คนในเเวดวงการเงินเค้าว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่พี่เหน่งก็ดูไม่ได้เดือดร้อนอะไรอาจจะเพราะรู้ตัวว่าคงไม่ได้มีใครมาแย่งงานนี้ได้ง่าย ๆ แถมยังเตรียมแผนไว้สำหรับหลังเกษียณอีกด้วย

ดูท่าพี่เหน่งคงจะชอบและพอใจงานนี้มาก ๆ แม้จะโดนแตนโดนต่อต่อยก็ไม่มีท้อ แถมยังหัวเราะออกมาได้อีก พี่เหน่งบอกกับเราว่าที่อยากทำงานนี้ก็เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กจนผูกพัน นอกจากตัวงานจะไม่น่าเบื่อแล้ว เจ้านายและเพื่อนร่วมงานก็ดูจะดีไปซะหมด แต่ก็ไม่ใช่ว่าพี่เหน่งจะไม่เคยไปลองทำงานอย่างอื่นนะ

“ผมเคยเข้าออกที่โรงงานหลายครั้ง ทำสามเดือนมั่ง แปดเดือนมั่ง แล้วก็ออก แล้วก็เข้าไปทำใหม่ ผมเคยไปทำพวกเหล็กดัด พวกก่อสร้าง แต่มันก็ไม่เหมือนทำที่นี่อะ ทำที่นี่ดูมันสบายใจดี”

แล้วความเครียดมันต่างกับที่อื่นมั้ย? เราก็เริ่มสงสัย

“ก็ต่างนะ ที่อื่นมันต้องสู้กับทุก ๆ อย่างอะ เข้าตามเวลา ออกตามเวลาเลย ประมาณนี้ แต่ที่นี่เค้าให้ความสบายเราคือตอนเช้าคุณรับงานไปทำ คุณทำงานเสร็จ อย่างบางวันผมก็กลับมาสแตนบายอยู่ห้องจนหมดเวลา คือเราไม่ต้องไปเครียดอยู่โรงงานหรือบริษัทอะไรแบบนี้”

“เรียนสูงหรือไม่สูงก็เสี่ยงเหมือน ๆ กันแหละ ยุคนี้อะเกาะงานเอาไว้ให้แน่นดีที่สุด” พี่เหน่งบอกเราในช่วงท้ายของการสนทนา

อาชีพอื่นมันเเก่งเเย่งกันเยอะอะสิ? 

“ใช่ครับ อย่างพวกผมนี่ถือว่าโชคดี เพราะคนอื่นเค้าเรียนจบมาเดินเตะฝุ่น แต่เรายังมีบริษัทรองรับอยู่ ถึงเราความรู้ไม่มีแต่เราก็…งานพวกนี้มันไม่ต้องใช้ความรู้หรอกครับ ใช้ความสามารถมากกว่า” 

จะว่าไปในมุมที่พี่เหน่งพูดมันก็ถูก เพราะหลายคนรอบตัวเราก็ตกงานกันเป็นแถบ ๆ หรือเราก็อาจจะสังเกตได้จากโพสต์ที่รับสมัครงานจากบริษัทต่าง ๆ ถูกแชร์ต่อกันเป็นร้อย ๆ พัน ๆ แชร์

พี่เหน่งบอกกับเราทิ้งท้ายว่าสุดท้ายก็ควรเลือกงานที่ถนัดนั่นแหละดีที่สุด เพราะแต่ละคนก็คงชอบและถนัดอะไรไม่เหมือนกัน จะมาว่างานคนอื่นเลว งานตัวเองดีมันก็ไม่ถูก เพียงแต่งานติดป้ายบิลบอร์ดนี้จะ ‘ถูกต้อง’ และ ‘ถูกใจ’ พี่เหน่งที่สุด

สุดท้ายแล้วงานที่ดีสำหรับแต่ละคนคงจะไม่เหมือนกัน เพราะในขณะที่หลายคนเลือกงานจากเงินเดือน ถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยความเครียดและแรงกดดัน หรือคนที่ชอบก็คงจะมองว่ามัน ‘ท้าทาย’ เพราะทำให้เราพัฒนาตัวเอง

แต่ถ้าจะมีใครซักคนเลือกงานที่ให้ความสบายใจมากกว่าเงินเดือนและความก้าวหน้า ก็คงจะไม่ผิด วาทะกรรมชวนให้ออกจากเซฟโซนก็อาจจะไม่ถูกเสมอไป ถ้าเป้าหมายของเราคือ ‘ความสบายใจ’

อืม…ก็เซฟโซนมันสบายใจนี่นา

Loading next article...