เมื่องานหนักฆ่าคนได้
เราคงจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย” ผมเองก็เคยได้ยินกับตัวเหมือนกัน

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยที่ผมยังเป็นแพทย์ใช้ทุนในโรงพยาบาลประจำจังหวัดขนาดใหญ่ ช่วงปีใหม่มักจะมีผู้ป่วยอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก รวมถึงนโยบายของโรงพยาบาลที่ทำให้บางคนได้พักแค่วันละ 8 ชั่วโมงก็ต้องกลับมาทำงานใหม่วนไปก็มี ใครที่ไม่เคยเจอการทำงานแบบหมดเวลาก็ไปนอน แล้วตื่นมาทำใหม่ติดกันหลายๆวันคงไม่รู้หรอกครับว่ามันโหดขนาดไหน

มีครั้งหนึ่งที่ ผ.อ. แวะมาเยี่ยมและได้รับเสียงบ่นจากพนักงานที่อยากให้มีการแก้ปัญหาไปในทางที่ดีขึ้นโดยการเพิ่มคน หรือเพิ่มค่าตอบแทนให้กับคนที่เสียสละทำงานในช่วงนี้บ้าง แต่กลับได้รับคำตอบว่า “รู้สึกเห็นใจทุกคน แต่ขอให้คิดว่า ไม่เคยมีใครตายเพราะทำงาน หรืออยู่เวร …”

นาทีนั้นประโยคนี้กลายเป็นคำพูดที่ฝังลงไปในใจและทำให้ผมสงสัยว่าจริงไหมมาตลอด  

พอลองไปค้นข้อมูลดู ผมพบว่าประโยคนี้เป็นเรื่องโกหก เพราะงานหนักสามารถฆ่าคนได้จริงๆ

ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวหน่อย ระหว่าง พ.ศ. 2551-2560 แพทยสภาบันทึกสถิติสาเหตุการเสียชีวิตของแพทย์ที่มีอายุระหว่าง 25-50 ปีไว้ว่ากว่า 90% นั้นเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์เพราะ “อดนอน” เพราะต้องทำงานหนักต่อเนื่อง บางคนอาจจะคิดว่าทำไมต้องฝืนทำงานกันขนาดนี้ แต่หมอและพยาบาลในระบบราชการมีจำนวนจำกัดและยังไม่พอกับความต้องการ ถ้าถามกันจริงๆจะรู้ว่าหลายคนจำเป็นต้องทำงานติดต่อกันถึง 36 ชั่วโมงโดยไม่ได้พัก โดยเฉพาะในช่วงที่มีผู้ป่วยคับคั่งมาก ๆ จะหาเวลาแอบงีบสักนิดยังยากแสนยาก ตัวผู้เขียนเองก็ไม่วายเคยมีอาการหลับในจนเกือบเกิดอุบัติเหตุอยู่หลายครั้ง

บางคนอาจจะบอกว่าคนเราต้องประเมินตัวเองได้ เหนื่อยก็ต้องพัก ไม่ใช่ฝืนแล้วไปโทษการทำงานหนัก นั่นก็ใช่ แต่ที่เขียนเปิดมาแบบนี้เพราะเป็นอาชีพที่ใกล้ตัวผมที่สุด แต่ก่อนจะสรุปว่า งานหนักจะไม่เคยฆ่าใครเลยจริงหรือไม่ ลองมาดูด้านอื่น ๆ จากชนชาติที่ทำ “งานหนัก” มากที่สุดอย่าง “ญี่ปุ่น” กันบ้าง

 

ด้วยภาพลักษณ์ของความจริงจังและตั้งใจในเกือบทุกๆอย่าง ทำให้หลาย ๆคนเกิดความชื่นชม แต่ก็เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มองว่าชาวญี่ปุ่นดู “ซีเรียส” เกินไปมาก เชื่อไหมว่าชาวญี่ปุ่นฆ่าตัวตายเป็นสัดส่วนเท่า ๆ กับที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และสาเหตุของการฆ่าตัวตายอันดับหนึ่งคือ “ความเครียด” ที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างไม่ต้องสงสัย

คาโรชิ 「過労死」แปลเป็นภาษาอังกฤษ ว่า “overwork death” หรือ การตายที่เกิดจากทำงานหนักมากเกินไป ทางการแพทย์ใช้คำว่า “overwork-related deaths and disorders” ผู้เสียชีวิตรายแรกที่ถูกรายงานเป็นชายอายุเพียง 29 ปี ซึ่งเป็นคนงานในแผนกขนส่งของบริษัทหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ เสียชีวิตจากภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการกล่าวถึงคาโรชิเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1978 เมื่อพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ หรือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ที่สัมพันธ์กับการทำงานหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายเมื่อมีการตีพิมพ์หนังสือที่กล่าวถึงภาวะนี้เมื่อ ค.ศ. 1982 และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ในช่วงยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ เมื่อมีผู้บริหารระดับสูงหลายรายเสียชีวิตอย่างกะทันหันก่อนวัยอันควรโดยไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ มาก่อน จนกระทั่งใน ค.ศ. 1987 กระทรวงแรงงานญี่ปุ่นต้องมีการรวบรวมสถิติของภาวะ Karoshi ขึ้นมา จากสถิติของประเทศญี่ปุ่น พบว่าหนึ่งในสี่ของพนักงานชายต้องทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งมากเป็น 1.5 เท่าของเวลาทำงานตามตารางที่กำหนดไว้

องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับภาวะคาโรชิใน ค.ศ. 2013 กล่าวถึงการเสียชีวิต หรือความพิการจากโรคทางหลอดเลือดต่าง ๆ อันเป็นผลที่สืบเนื่องการจากการทำงานปริมาณมาก หรือเป็นเวลานาน โดยยกตัวอย่างผู้เสียชีวิตที่มีลักษณะเฉพาะคล้ายคลึงกัน เช่น คนงานชายอายุ 34 ปี ทำงานในบริษัทอาหารเป็นเวลา 110 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลว คนขับรถเมล์ทำงานเป็นเวลา 3000 ชั่วโมงต่อปี โดยไม่มีวันหยุดเป็นเวลา 15 วันก่อนจะเสียชีวิตด้วยภาวะเส้นเลือดในสมองตีบขณะอายุ 37 ปี หรือ พยาบาลอายุ 22 ปี เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หลังจากต้องทำงาน “ขึ้นเวร” ติดต่อกันเป็นเวลา 34 ชั่วโมงถึง 5 ครั้งต่อเดือน

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า ไม่ใช่ว่าผู้เสียชีวิตกลุ่มนี้เขาอาจจะมีโรคประจำตัวอื่น ๆ อยู่ก่อนหรือเปล่า ? งานหนักนี่ถึงกับส่งผลกับหัวใจกับเส้นเลือดได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ? นอกเหนือจากความเครียดทางร่างกายที่ส่งผลโดยตรงแล้ว ความเครียดทางจิตใจก็อาจส่งผลต่อสภาพร่างกายได้อย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน

ตัวอย่างใกล้ตัวที่สุดคือภรรยาของผมซึ่งไม่เคยมีโรคประจำตัวใด ๆ มาก่อน ตอนที่อายุ 28 ปี กำลังอยู่ในช่วงเรียนต่อเฉพาะทาง จริง ๆ แล้วภาระงานไม่ได้หนักหน่วงมาก แต่ก็มักจะมีปัญหาให้วิตกกังวลอยู่เป็นประจำ หลายครั้งก็มาบ่นให้ฟังบ้าง อยู่มาช่วงหนึ่งเกิดมีอาการใจสั่นเต้นแรงจนถึงขนาดนอนไม่ได้ และมีอาการติดต่อกันอยู่หลายวันโดยที่ไม่ได้ดื่มกาแฟหรือชามากเป็นพิเศษเลย เมื่อไปพบกับอาจารย์ทางระบบหัวใจจึงได้รับการตรวจและวินิจฉัยว่าเป็นภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ

อาจารย์ทักว่า ภรรยาของผู้เขียนเป็นคนที่สามจากหน่วยนี้ที่เจอภาวะนี้ในช่วงการเรียนต่อ รุ่นพี่คนก่อนที่พบมีอาการรุนแรงมากจนถึงขั้นเป็นลมหมดสติ จึงจําเป็นต้องให้กินยาควบคุมอาการไว้ก่อน แต่พอเรียนจบเท่านั้นอาการก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง โชคดีที่ไม่ได้เกิดภาวะที่เป็นอันตรายมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากการทุ่มเทให้ ‘งาน’ ที่มาในรูปแบบของสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอย่างหนึ่ง

ในทางการแพทย์มีคำเรียกภาวะการเจ็บป่วยทางกายที่เป็นผลมาจากสภาพจิตใจว่า “Somatic symptom disorder” คือผู้ป่วยนั้นมีอาการนั้น ๆ ขึ้นจริง ไม่ได้เกิดจากการคิดไปเองหรือแกล้งป่วย แต่พอเจอหมอแล้วมักจะตรวจไม่พบความผิดปกติ ทำให้ต้องไปตรวจซ้ำไปซ้ำมา และส่งผลให้เกิดความกังวลเป็นอย่างมากเพราะแพทย์ไม่สามารถอธิบายสาเหตุของปัญหาได้ ซึ่งหากแก้ไขที่สาเหตุได้ถูกจุดอาการต่าง ๆ ก็จะดีขึ้นได้ การเสียชีวิตด้วยภาวะ Karoshi ไม่ได้หมายถึงเฉพาะสาเหตุทางร่างกายเท่านั้น ยังรวมไปถึงการฆ่าตัวตายเพราะความเครียดจากการทำงานด้วย ทางองค์กรแรงงานระหว่างประเทศได้ระบุว่าสาเหตุได้แก่ การต้องทำงานตลอดคืน ทำงานกะดึก หรือการทำงานในวันหยุด ความเครียดจากการที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ถูกกำหนดโดยหน่วยงาน การถูกบังคับเลิกจ้าง ให้หยุดงาน ถูกกลั่นแกล้ง หรือการต้องเป็น “คนกลาง” ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติงานเป็นต้น

แม้ว่าการทํางานจะเป็นหน้าที่ที่จําเป็นแค่ไหนก็เถอะ เราก็ควรจะบาลานซ์ให้มันอยู่บนทางสายกลางเข้าไว้ มี work-life balance ด้วยการแบ่งเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลากับคนที่รัก หรืองานอดิเรกที่ชอบบ้าง ไม่เช่นนั้นงานที่เราใส่ใจตั้งใจทําให้ดีที่สุดนั้น ก็อาจจะกลายเป็น “ผู้ร้าย” ที่กลับมาทําร้ายเราและคนใกล้ตัวเราโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน
Loading next article...