Headache Stencil: ผม /วาด /ประเทศ
ชื่อ ‘Headachestencil’ เริ่มเป็นที่รู้จักของคนไทยมาตั้งแต่คดีนาฬิกา (ที่ยืมเพื่อนมาอีกที) ก่อนจะโด่งดังขึ้นด้วยรูปเสือดำ และไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง ตราบใดที่รัฐบาลยังคงสร้างประเด็นให้พูดถึงได้อย่างท็อปฟอร์ม (อย่างต่อเนื่อง) กันแทบทุกวันอย่างนี้

ศิลปะที่เขาคนนี้สร้างขึ้น กลายเป็นเครื่องมือในการส่งผ่านความคิดให้กับคนรุ่นใหม่ (และคนรุ่นเก่าบางคน) ที่สนใจเรื่อง ‘การเมือง’ ผ่านโซเชียลมีเดีย

วันนั้นเราไปถึงที่นัดหมายตรงเวลา พอบอกยามว่ามาหาใคร ยามก็ชี้ไปว่าเขาอยู่ตรงนั้น

‘ห้องรกหน่อยนะ’ เขาออกตัวเมื่อพาเราขึ้นมาข้างบนตึกพร้อมๆกับเปิดประตูห้องด้านในสุด

ที่นี่ไม่มีห้องรับแขก เราเดาเอาเองว่ามันคงไม่เคยมีแขก(รับเชิญ) จะมีก็แต่กลุ่มเพื่อนที่ทำตัวกันได้ตามสบาย ซึ่งเราก็คงได้สิทธิเดียวกัน เพราะเก้าอี้ที่นั่งก็คือตัวที่วางอยู่แถวนั้น น้ำในขวดพลาสติกเย็นเจี๊ยบถูกยื่นมาให้เราหลังจากเสียงตะโกนให้ใครก็ได้ช่วยเก็บแมวที่ปีนอยู่บนตู้เย็น

หลังจากที่บทสนทนาเริ่มต้นไปแล้วนิดหน่อย และควันบางๆที่โชยออกมาจากบนโต๊ะทำงานตัวเดียวกับที่ผลิตงานออกสู่สายตาทุกคนนั่นแหละ

เราคิดว่าการพูดคุยของเรากับเค้ามันเต็มไปด้วยสีสันและความเห็นที่หลากหลายจนอยากเอามาแบ่งกันอ่านแบบดิบๆให้ได้อารมณ์นั้น

ผมขออนุญาตคนอ่านทุกคนให้มีคำไม่สุภาพอยู่ในนี้ และไม่ถามคำถามใดๆ  แต่เลือกสิ่งที่เขาทวิตฯทิ้งไว้ในทวิตภพ มาจับคู่กับสิ่งที่เขาพูดกับเราวันนั้นแทน

ผมมั่นใจว่าแค่ 11 ทวิตที่แคปออกมาจะทำให้คุณรู้จักเขามากขึ้น โดยผ่านมุมมองของผมได้ไม่น้อยไปกว่าการเขียนอะไรเพิ่มเติมลงไปอีกเลย

1.
“ปกติผมเป็นคนคุยการเมืองอยู่แล้ว วิธีการใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตมีผลแน่ ครอบครัวเราหัวโบราณ แต่โชคดีที่พ่อเป็นอาจารย์ที่ไม่บังคับเรื่องความคิด บวกกับโตมาในโรงเรียนที่สอนในหลักคิดสมัยใหม่ สื่อสมัยก่อนมันมีสื่อที่เป็นกลาง ถ้าเป็นตอนนั้นจะอ่านหนังสือพิมพ์แทบทุกหัว เพื่อวิเคราะห์เรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยตัวเอง มันก็เลยทำให้เราถูกบังคับให้อ่านมาตั้งแต่เด็ก ถึงจะแสดงออกไม่ได้เต็มที่ แต่มันฝึกให้คิด บางทีสองหัวแม่งลงคนละเรื่องเลย ขึ้นอยู่กับนักข่าว บางคนเล่าเรื่องเหี้ยให้ออกมาดูดีโดยไม่มีความเท็จยังได้เลย พอเรียนจบแล้วไปทำโปรดักชั่นฝ่ายข่าว เราก็ยิ่งรู้อะไรมากขึ้น มองเห็นอะไรมากขึ้น ”
2.
“ผมเคยต้องหนีเพราะคนพวกนี้มาบุกบ้าน มาไล่ล่า ตอนนั้นกลัวเพราะไม่เคยโดน ข้อความเด้งขึ้นมาตลอดเวลาจนต้องปิดเพจ ไม่งั้นไม่ได้นอน ตั้งใจจะกวนตีนด้วย เพราะทันทีที่ปิดคนก็จะสไตรค์ไปถล่มฝั่งนั้น แต่ที่เกิดขึ้นคือไก่อูให้สัมภาษณ์มาว่า ว่าทหารกินข้าวนะ เราไม่ส่งคนไปทำอะไรอย่างนั้นหรอก แม่งบอกแบบนี้ก็เหมือนกับว่าพวกคุณอย่าไปเชื่อไอ้ศิลปินคนนั้น แม่งตอแหล อ้าว แล้วกูหนีใครล่ะ หัวซุกหัวซุนขนาดนั้น หลักฐานกูก็มี แม่งแค้น กูก็เลยเอาหลักฐานเล่น กูถึงเริ่ม strike back ว่ากูก็กินข้าว ประชาชนก็กินข้าวนะ ! มันเหมือนทะเลาะผ่านสื่อไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้เคยเจอตัวจริง กูก็รอเจอมันทั้งชีวิตจริงๆ นั่นกูก็สุภาพที่สุดละนะ”
3.
“คนที่ไม่รู้แบ็คกราวนด์แล้วเห็นแต่คลิป เค้าก็จะมองว่ามึงก้าวร้าว ไปทำเค้าทำไม ในมุมกูก็อ้าว แล้วตอนมันไล่ล่ากูขนาดนั้นล่ะ ? ยกตัวอย่างง่ายๆก็พี่ชายผมเองแหละ พอมันเป็นเรื่องการเมืองกับครอบครัวพี่น้อง มันก็เหี้ยอยู่แล้ว โอเค เราเองก็ระวัง ไม่พูด แต่หลังๆมันเหมือนเป็นปัญหาระหว่างวัยละ คนรุ่นใหม่มองอย่างหนึ่ง เลือกอย่างหนึ่ง คนรุ่นเก่าก็มองอีกอย่างนึง เลือกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเคสนี้มันก็คงเป็นเพราะสิ่งที่เราทำไปสร้างปัญหาให้กับเค้าด้วยเหมือนกัน

“แต่เรื่องมันอยู่ที่ทำไมไม่มองว่านั่นคืออำนาจที่ไม่ถูกต้องและเป็นต้นตอของทั้งหมดบ้างล่ะ ?”

4.
“อย่างที่เราเคยเห็นคนเขียนกันว่าเป็นสลิ่มแล้วรักษาไม่หาย แม่ง…. ไม่ใช่เรื่องโกหกนะเว้ย กูพยายามวิเคราะห์หลายรอบแล้ว ในเมื่อคนเราเลือกเสพสื่อฝ่ายเดียว เอาแต่อันที่ซัพพอร์ตอารมณ์ตัวเอง มึงก็ไม่มีวันหายอ่ะ จะใช้คำว่าเสพอย่างมีสติไม่ได้ ต้องใช้คำว่าต้องเสพอย่างมีสติและปัญญาด้วย เพราะสื่อเองก็หลอกคนได้ดีจะตายห่า แล้วยิ่งคนไทยมีเงื่อนไขอ่านไม่กี่บรรทัดด้วยมึงเอ๊ย…. จะเอาอะไรกับประเทศที่มีคนซื้อยาไปทาหัวนมให้เป็นสีชมพูวะ !”
5.
“ถ้าถามว่า Headache Stencil คืออะไร รุ่นพี่เคยให้คำนิยามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความเกลียดชัง ส่วนตัวจริงกับบทบาทศิลปินต่างกันมั้ย คำตอบก็คือต่างกันอยู่เล็กน้อยตรงที่ตัวจริงแม่งเหี้ยกว่า เพราะไม่ต้องแคร์มากกว่าไง ถ้าศิลปินต้องคิด เราไม่ใช่คนทำอะไรไม่มีเหตุผล ถ้าเราทำแล้วมีคนด่าว่าเลว เราก็อยากให้คนดูว่าทำไมเราถึงทำอันนั้น ไม่ใช่ว่าโห… ปากหมาว่ะ แต่ทำไมถึงไม่ดูเลยว่ากูปากหมาเพราะอะไร เราชอบเอาเรื่องปวดหัวมาจุดประกาย พูดง่ายๆ ความสำเร็จของกูคือความฉิบหายของประเทศน่ะ วินาทีที่พรรคพลังประชารัฐชนะ พี่คนขับรถหันมาบอกว่า โอเค เรายังมีงานทำกันต่อ”
6.
“จากที่สังเกต เวลามีคนมาฟอลเพิ่ม 70% ก็เป็นชายฉกรรจ์ ชื่อโปรไฟล์โหดๆ ไม่ค่อยมีอะไรรื่นรมย์เท่าไหร่นัก เราก็จะเห็นว่ากลุ่มคนที่ตามเราอย่แม่งเป็นยังไง ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเด็กๆเกเรแน่ มึงมีปืนแน่ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ ของเด็กเกเรที่ไม่ได้ไม่หวังดีต่อชาติ เหมือนเรานี่แหละ

“คนชอบมองว่ากูทำเพื่อชาติ จริงๆแล้วกูทำเพื่อตัวเองล้วนๆเลย แต่ถ้าสิ่งที่กูทำ มันทำให้สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวดีขึ้น ทำไมจะไม่ทำ? พูดเรื่องเหี้ยๆที่คนทั่วไปก็พูดได้ปะวะ กูไม่แคร์ใครเลย แต่พอทำแล้วใช้ชีวิตยากขึ้นกว่าเดิมฉิบหายเลย เพราะด้วยคอนดิชั่นที่เราเริ่มรู้วิธีดำรงชีวิตแบบนี้ ทำให้การใช้กฏหมายมาเล่นกับเรายากขึ้น งานบางชิ้นกว่าจะได้ทำ แทบจะหมดไฟ เพราะต้องคุยกับทนายก่อน ต้องปรึกษาก่อนสร้างปัญหา หาช่องโหว่ บางทีทำไปแล้ว แล้วก็บอกเค้าว่าช่วยดูหน่อยได้ไหมครับว่ามันทำยังไงได้บ้าง”

7.
“ถ้าเกมยาวอ่ะ แพ้ รัฐบาลเขี้ยวกว่าเยอะ มีทั้งเงินและอำนาจ ทำภาพเหี้ยให้กับนักศึกษาตลอด เด็กมันเพลี่ยงพล้ำให้รัฐบาลมาทุกครั้งตามประวัติศาสตร์ ผมชอบสร้างภาพในหัวเสมอว่า ถ้าต้องทำม๊อบจะทำยังไง คำตอบคือทำให้เร็วที่สุด กว่ารัฐบาลจะสร้างวอร์รูมทีเป็นวัน สิ่งที่เปลี่ยนทุกวันนี้ไม่ใช่วิธีเปลี่ยนนะเว้ย แต่เป็นอุปกรณ์ สุดท้ายก็จะโดนต้อนไปเหมือนเดิม เอาศรัทธากับความเชื่ออีกฝั่งมาใช้ แล้วก็วนอยู่แบบนี้ แค่เปลี่ยนผู้เล่นไปเรื่อยๆ ถ้ามันกำลังจะถอยหลังสู่อดีต ย้อนไปวิธีหมาๆที่มึงเคยใช้อ่ะ ก็เท่ากับว่าเรากำลังจะเจอในสิ่งที่เราผ่านมาแล้ว เราก็ไม่กลัว”
8.
“เค้าไม่ได้มองเราเป็นประชาชน มันถึงเกิด IO อาจจะไม่ถึงขั้นมองเราเป็นศัตรู แต่เป็นเกมที่ถ้าเค้าแอ๊คติ้งกับเราแบบนั้น เราก็จะตอบสนองแบบนี้ แต่ถ้าเราจะไปเล่นบทตรงกลาง มันก็ทำไม่ได้ มึงคอนโทรลกูไม่ได้ว่ากูจะเล่นอะไร อย่างตอนเจอไก่อู กูไม่ได้คิดหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่ตั้งใจถ่ายคลิปเพราะว่ากลัวโดนกระทืบเท่านั้นแหละ แต่พอได้มา กูมีแบบนี้อยู่ในมือ ไม่เล่นก็บ้าแล้ว แต่ถามว่าเกิดขึ้นจากกูเหรอ มันไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เห็นมันคอนโทรลไม่ได้ คนที่โพสวันต่อมาที่ใช้แฮชแท็คนั้น มันไม่ได้รู้ด้วยซ้ำ กูเจอคนนี้แล้วด่าเลย นักข่าวหรืออะไรก็ตาม ที่รีโพสต่อ สื่อหลักที่ไม่ใช่คนทั่วไป ทั้งออนไลน์ทีวี จะใช้คำแบบ ‘ประชาชนไม่ทนแล้ว’ เราก็พูดตรงๆว่าสื่อต้องเสี้ยมให้มันมีงานเพราะทุกวันนี้มีแต่สื่อแหละที่ขายได้ กูก็ไม่ใช่เด็กๆที่จะมาวิ่งตามเกม
9.
“ถ้ายังรบด้วยวิธีเดิม สู้ด้วยวิธีเดิม วันนึงคุณอาจจะเจอโฮโลแกรมฉายจากท่อ เจอครีเอทีฟทั้งประเทศช่วยกันคิด หาเจอป่ะล่ะ มึงตามความครีเอทีฟของคนในประเทศนี้ไม่ทันหรอก ทำเป็นเล่นไป คนที่เสียผลประโยชน์จากรัฐโง่ๆแบบนี้เยอะ ถ้าเค้าจะระดมทุนช่วยกันทำให้ไม่ผิดกฎหมาย ทำไมเค้าจะไม่ทำอ่ะ เป็นกูกูก็จ่าย กูว่าเจนกูมันค่อนข้างแอบฮิปปี้ มันผ่านพฤษภาทมิฬมา เจออุดมการณ์เปลี่ยนจากเทวดาเปลี่ยนเป็นเหี้ย เพราะฉะนั้นเจนกูค่อนข้างจะมีประสบการณ์ อุดมการณ์ไม่สำคัญ ซื้อไม่ได้จริงๆ ยังเป็นรุ่นที่เวลาอยากทำงานอะไร ก็เดินไปขอทำ บอกว่าไม่เอาตังค์ก็ได้ กูว่าด้วยความที่โตแบบนี้ มันก็จะไม่ได้มองเรื่อง cost เป็นหลักหรอก”
10.
“มันไม่มีใครตามกูทันหรอก จะเปรียบเทียบคนที่ดำรงชีวิตปกติกับคนที่หาอะไรป่วนชาวบ้านได้ยังไง ถามว่าทุกวันนี้คิดงานยังไง คำตอบคือไม่คิด คิดเหี้ยอะไรล่ะ ด้วยความที่ต้องปรึกษาฝ่ายกฏหมายเพราะหลังๆงานที่ทำ แม่งสามารถกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือศาสนาได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ จะหน้าด้านทำไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าปรึกษาแล้วฟังมั้ย ไม่รู้ กูก็ยังเสือกถาม หาวิธีไปเรื่อยๆอ่ะ กูไม่เคยสนเรื่องความอันตราย คนที่อยู้รอบข้างสนใจมากกว่า เพราะตัวกูเองแอบค่อนข้างเชื่อในกฎพื้นฐานหลังๆ ก็แค่ขังตัวเองไว้ในนี้ แล้วเอาทุกอย่างมา เมื่อไหร่ที่มึงใช้กฎหมายกับกูไม่ได้ วิธีเดียวคือใช้วิธีนอกกฎหมาย เมื่อไหร่ที่พลาด เผลอ อาจจะเจอจิ๊กโก๋มากระทืบด้วยเหตุผลที่ว่ากวนตีน มองหน้า ทั้งๆที่ถูกคนสั่งมาก็ได้ เป็นคนอื่นคงหยุดไปแล้ว รอดมากี่รอบแล้วยังหาเรื่องเรื่อยๆ กูอาจจะเป็นสัตว์เลือดอุ่นก็ได้นะ”
11.
“… คือตอนเนี๊ยะ ปลงละ ยอมปล่อยให้ประเทศไปถึงจุดที่ล่มสลาย เพราะถ้ายังไม่เจอจุดต่ำที่สุด ก็จะรอวันที่ลงไปอยู่อย่างนี้ ถ้ามีการสู้ มีการยื้อ ในมุมกูคือมึงแค่ยึดไม่ให้มันลงไปช้าลงกว่าเดิม แล้วพอถึงจุดต่ำสุด มันก็เกิดแรงต้านขึ้นมาเอง เพราะมีคนแค่หยิบมือเดียวที่อยู่บนหอคอย

“มึงยังฝันจะเปลี่ยนได้อีกเหรอวะ ประเทศนี้มันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว สองปีก่อนอาจจะเชื่อว่าได้ แต่ตอนนี้แม่งเปลี่ยนเหี้ยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

Loading next article...