คนบ้านป่าในวันที่ไม่อยากแช่อยู่ในช่องฟรีซ
กิจการค้าขายคือหนึ่งในวิธีที่ทำให้พอลืมตาอ้าปากได้ แต่มีน้อยคนนักที่สามารถลงมือทำ เพราะติดขัดด้านปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องเงินลงทุน

คนพื้นราบส่วนใหญ่หลงรักและหลงใหลในเสน่ห์ภาพแช่แข็งอันงดงามของบ้านป่าที่ติดอยู่ในความทรงจำ แม้ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะทุกอย่าง แต่จะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยพวกเขาก็ยังมองว่าวิถีบ้านป่านั้นเรียบง่ายสวยงามตามแบบฉบับดั้งเดิมโบราณ  จนบางครั้งอาจลืมไปว่าคนบ้านป่าชาวดอยก็เหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไปที่ต้องการสิ่งที่ดีกว่าให้ชีวิต และไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง  

เราคนบ้านป่าพยายามดิ้นรนถีบตัวเองไปข้างหน้าเพื่อตามหาสิ่งที่พอจะทำให้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง เพราะพวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีสิทธิ์อะไร ควรได้รับการปฏิบัติดูแลเอาใจใส่อย่างไร  อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งแล้วที่เคยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลประชาชนด้วย  แต่จะโทษว่าผมไม่สนใจก็คงไม่ได้ เพราะมันแทบไม่มีให้เห็นเลย  

ผมก็ไม่รู้ว่านี่มันความผิดของผมที่อยู่ไกล  หรือเป็นคุณที่มองข้าม หรือว่าผีป่าผีเขาบังตาให้เราไม่เห็นกัน

“บ้านคิดถึง” หนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนพิกัดป่าลึกมีภูเขาห้อมล้อมรอบด้าน ห่างไกลสังคมเมืองและความเจริญ
บ้านป่าไร้คลื่นโทรศัพท์และสัญญาณไวไฟ หน้าที่หลักของโทรศัพท์จึงไม่ใช่การเชื่อมต่อพูดคุย แต่คือการเก็บรักษาข้อมูล ทั้งภาพถ่าย วิดีโอ เสียงเพลง เอกสาร เกม และอื่น ๆ

มาถึงวันนี้ วันที่โตขึ้นมาหน่อย ผมรู้อะไรเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังไม่หมดอยู่ดี  ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมการดูแลคนบ้านป่าต้องต่างจากคนพื้นราบ ก็ยังไม่เจอคำตอบที่พอใจอยู่ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรามันคนส่วนน้อยไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน เรามันดึกดำบรรพ์ล้าหลังไม่ฉลาด  เรามันไม่มีความสามารถสร้างประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองไม่ได้  หรืออะไรอีกก็ยังไม่รู้  แต่ที่รู้รู้อย่างน้อยเราก็เป็นหนึ่งในชีวิตที่มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไป ก็น่าจะได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่บ้าง 

ว่ากันมาถึงตอนนี้ก็ทำให้หวนนึกถึงบรรยากาศในห้องประชุมหมู่บ้านเมื่อเดือนก่อนที่ผู้นำชุมชนนำสารความห่วงใยจากเบื้องบนมาประกาศว่า “…เวลาอยู่บ้านหรือเข้าเมืองให้พวกเราบ้านป่าชาวดอยสวมใส่ชุดชาติพันธุ์ที่เราถักทอกันเองด้วยนะ มันเป็นวัฒนธรรมอันดีงามต้องอนุรักษ์สืบต่อกันไปและจะได้ไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง…” 

คนบ้านป่ารุ่นเก่ายังคงใช้ชีวิตตามแบบฉบับบรรพบุรุษทั้งในเรื่องการทำมาหากินและทำนุบำรุงวัฒนธรรม และเปิดกว้างผลักดันให้ลูกหลานออกจากจุดเดิมผ่านระบบการศึกษาเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เป็นข้อความไม่ยาวนัก แต่สะกิดใจผมแรงมาก หลายคำถามวนไปวนมาในความคิดผม  และรู้สึกมั่นใจว่าสายตาที่เขามองเรากับคำพูดที่เขาบอกเรานั้นมันต่างกันอย่างคนละโลก  ถ้าคิดไม่ออกว่าผมหมายถึงอะไรก็ลองนึกถึงภาพปฏิกิริยาของชนชั้นกลางคนเมืองส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฟังชาติพันธุ์บ้านดอยกับซุปตาร์เกาหลีพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงของตัวเองดู  คงเดาได้ไม่ยากใช่ไหมว่าใครจะเกิดใครจะตาย  เพราะสุดท้ายคนอยู่ชายขอบก็จะถูกผลักออกอยู่ดี  แม้จะมีตัวหนังสือบอกว่าทุกคนบนโลกมีสิทธิเท่าเทียมกันก็ตาม

มากกว่านี้สารความห่วงใยข้างต้นยังแทรกข้อความมาให้เห็นอีกว่า ไม่ใส่ชุดชาติพันธุ์เท่ากับลืมรากเหง้า  และเปลี่ยนแปลงตัวเองเท่ากับไม่รักษาวัฒนธรรม  มันทำให้เกิดคำถามว่าคนบ้านป่าชาวดอยต้องแช่แข็งตัวเองอยู่ที่เดิมงั้นหรือ ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทอผ้าใส่เอง ก้มหน้าปลูกข้าวเองกินเอง ไปทุกที่ด้วยแรงขาตัวเอง หรือทำทุกอย่างด้วยแรงมือของตัวเอง  โดยที่ทุกอย่างนี้เป็นไปเพียงเพื่อรักษาภาพฝันอันงดงามของคนอื่นหาใช่ความจริงของชีวิตไม่   ถ้าเป็นอย่างนี้คงเป็นเรื่องเศร้าไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากนี้แล้วยังมีอีกหลายข้อความที่เคยได้ยิน และผมมักมีคำเถียงดัง ๆ ในใจกลับไป 

“อยู่บนดอยอะไฟฟ้าก็ไม่มี สัญญาณก็ใช้ไม่ได้ พวกเทคโนโลยี โน้ตบุ๊ค โทรศัพท์มันไม่จำเป็นหรอก แถมสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์อีก…”  อาจใช่ในมุมหนึ่ง แต่ไม่ใช่ในมุมผม เพราะทุกวันนี้ก็ใช้โน้ตบุ๊คทำงานอยู่นะ ใช้ในบ้านป่านี่แหละ

คนบ้านป่ารุ่นใหม่ที่มีโอกาสเข้าถึงระบบการศึกษานำเทคโนโลยีสมัยใหม่กลับบ้านป่า โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าอันน้อยนิดจากแผงโซล่าเซลล์เป็นพลังงานหลัก ทำให้เกิดภาพความกลมกลืนระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ได้อย่างลงตัว

“อยู่แบบเดิมน่ะดีจะตาย ไม่รู้หรือว่าคนในเมืองเขาอิจฉา”  เขารู้ได้อย่างไรว่าดี เคยใช้ชีวิตแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า แล้วสถานะพื้นฐานล่ะเท่ากันไหม

“แค่บ้านป่าบ้านดอย ทำไมต้องเก็บค่าที่จอดรถด้วย ไม่เห็นเป็นเหมือนเมื่อก่อนเลย” อ่าว! ก็นี่มันไม่ใช่เมื่อก่อนไงแล้วอีกอย่างไม่คิดจะถามเขาเลยหรือว่าทำไมต้องเก็บค่าบริการ จะได้เข้าใจไม่มาบ่นลอย ๆ 

“ที่นี่สโลไลฟ์ดีนะ ชอบจัง อยากเก็บใส่กระเป๋า” คงเป็นเพราะคุณเห็นที่นี่เป็นสิ่งของสินะ

“ดีจังเลย คนบนดอยนี่อยู่ง่ายกินง่าย น้ำพริกถ้วยเดียวก็อิ่มกันทั้งบ้าน” ไม่ได้อยู่ง่ายกินง่ายนะครับ แต่ผมต้องอยู่ให้ได้  และไม่ได้ชอบกินน้ำพริกด้วย แต่มันไม่มีหมูกระทะชาบูในตัวเลือกนี่นา

“อยู่ในป่าก็อยู่ไป จะเรียกร้องอะไรนักหนา  ถ้าอยากได้อยากมีก็มาในเมืองสิ ที่ที่คนปรกติเขาอยู่กัน” โอ้! ผมต้องเนรเทศตัวเองไปในเมืองหรือนี่ ถึงจะได้เป็นคนปรกติ

ร้านค้าคือจุดรวมพลให้คนนอกและในพบปะพูดคุยกัน โดยมีสินค้าเกือบครบทุกอย่างจนเป็นที่มาของคำว่า “เซเว่นบนดอย” จากคนพื้นราบที่ผ่านเข้ามา

“…ก็ไปอยู่ในหลืบในป่าทำไมล่ะ  ทำไมไม่มาอยู่ในเมือง” เลือกเกิดได้ซะที่ไหนละครับ ละถ้าให้ผมไปอยู่ตอนนี้ผมคงตามคุณไม่ทันหรอกครับ ผมโง่จะตายคุณว่าอย่างงั้น พูดภาษาก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่เป็น

“คนดอยการศึกษาน้อย” ก็ใช่นะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก อันที่จริงการศึกษาน้อยก็ไม่ได้แปลว่าความรู้จะน้อยตามด้วยนะ ก็เอาตัวรอดได้อยู่

“พวกเรามาเพื่อช่วยพี่น้องบนดอย…” สถาปนาตนเองเป็นพระโพธิสัตว์ซะงั้น  ไม่ใช่ไม่อยากให้มานะ  แต่เราน่าจะทำความรู้จักกันก่อนไหม  ความหวังดีที่คุณใส่กระเป๋าเสื้อมาจะได้ผลิดอกออกผลบ้าง 

และอีกบลา บลา บลา

คนดอยหลายคนเปลี่ยนจากทอผ้าเพื่อใช้สวมใส่เอง เป็นทอเพื่อค้าขาย เพราะนี่เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่วิธีที่สร้างรายได้ให้พอเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ กระเบื้องหลังคาสักแผ่น โทรศัพท์มือถือสักเครื่อง รถจักรยานยนต์สักคัน และอีกมากมายนับไม่ถ้วน

ไม่ว่าอุดมการณ์เพ้อฝันในสายตาคนข้างนอกจะงดงามและมองว่าบ้านป่าซื่อบื้อขนาดไหน  ผมก็รู้ดีว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร  ผมรู้ดีว่าผมมีสิทธิ์อะไร ผมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร  เพียงแต่เสียดายที่เสียงของผมนั้นมันดังไม่พอ ไม่พอให้มีแสงไฟฟ้ากลางหมู่บ้าน ไม่พอให้มีถนนดี ๆ พาดผ่าน ไม่พอให้คุณได้ยินและหันมองว่าผมนั้นยืนอยู่ตรงนี้

เรารู้ดีว่าวิถีวัฒนธรรมนั้นเป็นสิ่งมีค่า แต่เราก็ไม่อยากเป็นเหมือนสิ่งของที่ถูกแช่แข็งตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์  เราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และคิดว่าความต้องการของเรานั้นก็ไม่ได้ไร้สาระ  เพราะคนอื่น ๆ เขาก็ต้องการไม่ต่างจากนี้

สภาพทางเข้าออกหมู่บ้านไปสู่พื้นราบที่เด็กใช้ไปโรงเรียน คนป่วยใช้ไปโรงพยาบาล และทุกคนใช้ในการเดินทาง และเมื่อวันก่อนผมก็ใช้เส้นทางนี้ลงไปเยี่ยมหลานที่เพิ่งคลอดเหมือนกัน
วงสนทนายามค่ำ แต่เดิมมีเพียงหมากพลูเป็นของกินเล่น แต่วันนี้มีเครื่องมือสร้างความบันเทิงมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีสมัยใหม่

มันเป็นเรื่องไม่น่ารักนักที่อยู่ดี ๆ ใครก็ไม่รู้มาบอกว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ไม่รู้จักเราจริง ๆ เลย  มิหนำซ้ำพูดเสร็จก็กลับบ้านจากเราไปอีก ไม่ได้อยู่เคียงข้างกันเลย ไม่ได้ร่วมรับรู้รสชาติชีวิตอันขมขื่นของเราเลย แต่ทำไมมีความกล้ามาตัดสินเราว่าควรทำอะไรอย่างไร

โลกนี้ไม่มีใครอยากย่ำอยู่ที่เดิมทุกวัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ้านป่าวันนี้จะต้องการอะไรที่ไม่เหมือนร้อยปีที่แล้ว คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็ควรให้การสนับสนุนให้เท่ากับคนพื้นราบทั่วไป เผื่อช่วยลดช่องว่างอันกว้างระหว่างสังคมที่สั่งสมมานานนี้ได้บ้าง เพราะเราก็มีสิทธิ์อยู่อย่างถูกต้องชัดเจน และมีมานานตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลกแล้ว

ผมกับคุณ  เราอาจไม่เหมือนกัน  แต่เราก็เหมือนกันนั่นแหละ

Loading next article...