จากกันไม่ทันลา

‘การไม่ได้จากลาคนใกล้ตัว’ น่าจะเป็นสิ่งที่เราไม่อยากเจอที่สุดกับตัวเอง

โดยเฉพาะในวันที่ประเพณีและพิธีกรรมร่ำลาเพื่อบรรเทาความรู้สึกสูญเสียต้องจางหายไปเพราะวิกฤตโควิด-19 ทำให้การร่ำลาคนที่รักยิ่งเป็นไปไม่ได้

ยังไงทุกคนก็ต้องตาย ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่การลาจากที่ไม่ได้ลานั้นเป็น New normal ที่ดูเศร้าจัง คิดงั้นกันมั้ย?

ช่วงนี้ผมคิดถึงความตายอยู่บ่อย ๆ 

ไม่ใช่ในมุมมองที่ว่าตัวเองอยากตาย แต่เป็นความกังวลว่าซักวันหนึ่งเราจะพาตัวเองไปติดโควิดรึเปล่า ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่สามารถไปแก่งแย่งวัคซีนกับคนอื่นเขาได้ทัน ถึงจะพยายามไม่อ่านข่าว แต่ถ้ายังเล่นโซเชียลมีเดียมันก็ยังต้องเห็นอะไรพวกนี้ตลอดเวลา

หรือต่อให้ไม่ไปดู ก็หนีไม่พ้นเสียงหวอรถพยาบาลที่แล่นผ่านวันละไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบอยู่ดี

แปลกดีที่สิ่งแรกที่ทำให้นึกถึงร้านสุริยาหีบศพคือโฆษณาที่มีพริตตี้โลงศพในยูทูบที่เคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว เลยอยากจะสัมภาษณ์เค้าถึงความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมการจากลานี้ 

พอมาถึงหน้าร้านก็ป๊ะเข้าให้กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในชุด PPE เต็มยศ รู้สึกใจคอไม่ดียังไงไม่รู้

“ตอนนี้คนบริจาคเยอะขึ้นเพราะคนที่เป็นโรคนี้เขาตายแบบกระทันหัน มันเป็นจุดหนึ่งที่สะเทือนใจทุกคนในประเทศนี้น่ะนะ  แล้วมันก็เป็นโรคที่ทำให้คนที่รักใคร่จะเข้าหาบอกลาไม่ได้ มันโหดร้ายนะครับ” ลุงสมชาย สุริยเสนีย์ ผู้ก่อตั้งสุริยาหีบศพเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ตอนนี้

“จำนวนโลงที่ส่งออกต่างจากเดิมเยอะมั้ยครับ?”

“เยอะครับ เฉพาะโควิดนี่ก็เป็นสิบโลงแล้วนะ วันนึงต่อประมาณสิบใบ บางทีก็ยี่สิบใบแล้วแต่จังหวะ เดือนหนึ่งก็ประมาณสามร้อยถึงห้าร้อยใบได้ครับ

พอได้ยินลุงสมชายพูดแบบนั้นผมก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าทำทันได้ยังไง

“การที่คนเคยอยู่ด้วยกัน เกื้อกูลกันมาจากไปกระทันหัน มันก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะลืมเลือนได้นะ” 

ลุงสมชายบอกว่าคนที่เป็นโควิดคือรับศพจากโรงพยาบาลแล้วไปเข้าเตาเลยทันที ส่วนใหญ่เขาจะเผาวันละศพถึงสองศพเพราะต้องพักเตาด้วย

“ในเรื่องการปรับตัวกับสถานการณ์ตอนนี้ผมก็ต้องตามน้ำน่ะนะ จะไปฝืนได้ยังไง ได้อย่างเดียวคือช่วยเหลือ คนไหนขาดทุนทรัพย์ผมก็ช่วยเพราะผมมีตู้รับบริจาคค่าโลงศพ ผมก็เอาเงินตรงนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำศพที่ติดโควิดโดยที่ญาติไม่ต้องเดือดร้อนครับ”

บรรยากาศโกดังประกอบโลงศพอบอวลไปด้วยเสียงเครื่องยิงตะปูและคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสีทันทีที่ผมย่างก้าวเข้าไป

“ตอนนี้ศพโควิดเยอะมากครับ ปกติกลางวันนี่เราแทบจะไม่ได้ทำหีบกันเลยเพราะว่าต้องไปรับ-ส่งศพ” พี่รัฐวิชญ์ ผู้จัดการร้านย้ำ.

“ลูกน้องเขามาเอาชุด PPE แล้วก็ออกไปข้างนอก ส่วนใหญ่จะมาทำโลงศพตอนช่วงค่ำเป็นโอทีครับ ทำประมาณหกโมงครึ่งถึงสองทุ่มเพราะต้องล็อกดาวน์”

“ตอนนี้ขั้นตอนพิธีการฌาปนกิจก็ต้องลดลงด้วยเพราะทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของศบค.น่ะครับ

 บางบ้านที่ไม่ได้เสียเพราะโควิดก็ไม่อยากจัดอะไรใหญ่โตก็เปลี่ยนให้มันรวบรัดขึ้น จากสวดห้าวัน-เจ็ดวันก็เหลือแค่สามวันแล้วเผา บางคนคืนเดียวด้วยซ้ำเพราะไม่มีแขก 

“ส่วนพวกพวงหรีดหรือของประดับงานศพนี่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีลูกค้าสั่ง ลอยอังคารในช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีคนทำกัน บางคนทำบุญยังต้องเลื่อนไปก่อนเลย”

ระหว่างที่ดูพี่ ๆ เขาประกอบโลงก็พลางนึกว่าโลงนี้อาจเป็นของเราถ้าเซฟตัวเองไม่ดีพอมันก็ชวนให้หดหู่ขึ้นมา เป็นครั้งแรกในชีวิตจริง ๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองควบคุมอะไรไม่ได้เลย

“เดี๋ยวนี้การไปรับศพที่โรงพยาบาลแทบจะไม่ต้องรอแล้วครับ ยิ่งถ้าเป็นศพโควิดเมื่อเขาเสียก็เอารถไปรับไม่ก็ทางโรงพยาบาลแพ็ครอไว้เลยเพราะกลัวเชื้อมันจะกระจาย ต้องเซฟทั้งเจ้าหน้าที่ ทีมงานที่ไปรับศพยันคนที่ต้องเข้าออกห้องเก็บศพด้วย ลูกค้าบางรายที่มีทรัพย์แต่มีเหตุให้ทำเองไม่ได้แล้วให้เราทำแทนทั้งหมดก็มี เช่นบางบ้านที่ติดเชื้อทั้งบ้านแล้วมีคนในครอบครัวเสียชีวิต มันต้องทำทันทีครับ รอไม่ได้

ตอนนี้คนที่เสียชีวิตด้วยเคสปกติถือว่าน้อยมาก ๆ ครับ งานเพิ่มมากขึ้นแต่ในแง่ของธุรกิจได้กำไรน้อยลงมาก ส่วนเรื่องหีบก็บริจาคให้ คนที่ไม่มีเงินเราก็ทำให้หมดเลยตั้งแต่เข็นศพจากโรงพยาบาลจนถึงส่งเผาเลยครับ”

“ได้ยินว่าต้องไปรับศพต่างจังหวัดด้วยเหรอครับ?”

“รับกลับไปเผาที่จังหวัดบ้านเกิดครับ แต่ว่าจะไปจังหวัดที่ไม่ไกลเช่น อยุธยา อ่างทอง ลพบุรี เพราะทีมงานต้องใส่ชุด PPE ตลอดเวลามันเลยไม่สะดวกเท่าไหร่ก็เป็นแบบไป-กลับให้ทันเวลาเคอร์ฟิวน่ะครับ ถ้าเป็นไปต่างจังหวัดไกล ๆ หน่อยก็ให้ทางญาติเขาขอใบอนุญาตเดินทาง ถ้ากลับไม่ทันก็ให้ทีมงานเข้าพักระหว่างทาง แต่ถ้ามีศพไปด้วยก็ต้องไปให้ถึงที่ครับ หยุดไม่ได้”

มันต้องเป็นการเดินทางที่น่าอึดอัดแน่ ๆ  ทั้งชุดที่น่ารำคาญ แวะพักข้างทางก็ไม่ได้ แล้วไหนจะศพที่อยู่ท้ายรถอีก นี่ยังไม่นับผีโควิดที่ช่วงนี้เริ่มได้ยินเรื่องเล่ามาบ้างแล้วนะ

“ในฐานะที่พี่ประกอบธุรกิจนี้ พี่มีมุมมองเรื่องความตายเป็นแบบไหนครับ?”

“สำหรับผม ๆ มองว่าความตายมันก็เป็นเรื่องธรรมชาตินะ เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นสิ่งที่ต้องเจอกันทุกคนอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ตอนนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าที่เราจะเตรียมตัวทันได้ ถึงเราจะมองความตายเป็นเรื่องปกติแต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นอะไรที่รวดเร็วเกินไปมาก 

มันน่าเศร้ามากนะครับ คนที่เสียชีวิตแทบจะไม่ได้ร่ำลากับญาติเลย… วัฒนธรรมทั่วโลกปกติสุดท้ายมันต้องมีการร่ำลากันอ่ะ”

โลงสีขาวราบเรียบถูกขนมาไว้หลังรถตู้พร้อมกับชุด PPE และบรรดาอุปกรณ์ป้องกัน เป็นภาพที่เกิดขึ้นทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งดูยังไงมันก็ยังไม่ชินตาอยู่ดี ไม่ว่าจะจากมุมมองของพนักงานหรือคนนอกอย่างผมก็ตาม

ระหว่างที่สัมภาษณ์พี่เจ้าหน้าที่ให้ผมดูรูปตอนที่เขารับศพจากโรงพยาบาลที่บางครั้งต้องซ้อนศพไว้ในรถหลายศพแล้วมีซาวนด์เป็นเสียงรถหวอที่วิ่งมาเป็นระยะ ๆ มันยิ่งทำให้ผมใจหาย

“ศพที่โรงพยาบาลเยอะจนต้องวางไว้กับพื้นเหมือนกองผักเลยครับ”

ดูรูปไปในหัวก็พลางคิดว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่ไม่ว่าใครก็ต้องดูแลตัวเองไม่ให้เข้าใกล้ความตายที่โดดเดี่ยวกว่าที่เคยเป็น

Loading next article...