ผีน้อย | โควิด | ลุงตู่ ใครจะอยู่ใครจะไป ?
ในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยเงินอย่างแท้ทรู มีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่แสดงออกถึงการบูชาเงินอย่างชัดเจน พวกเขามักเรียงลำดับความสำคัญให้เงินมาก่อน ความถูกต้องค่อยว่า อ้างเอาความยากจนมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เงินจากงานสีเทาสีดำถูกนำมาใช้อย่างเปิดเผย บ้างก็ได้รับการเชิดชูกับ ‘ธุรกิจทางเลือก’ ทำให้พวกเขามีพื้นที่ให้ยืนกร่างในสังคม(โซเชี่ยล) พอสมควร แม้ว่าเหตุผลของพวกเขาจะฟังไม่ขึ้นกับคนหมู่มากก็ตาม และหนึ่งในพวกเขาเหล่านี้คือ ‘ผีน้อย’ หรือแรงงานไทยที่หลบเข้าไปทำงานในเกาหลีอย่างผิดกฎหมาย และกลายเป็นกระแสในโลกโซเซียลอย่างหนักเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเมื่อคนเหล่านี้ต้องการจะกลับบ้านเพราะต้องการหนีจากสถานกาณ์โควิทที่กำลังระบาดอย่างหนัก

ทุกวันนี้สังคมแบ่งแยกกันชัดเจนในเรื่องความเกลียดชัง เพราะมีทั้งอารมณ์น้อยใจจากผีน้อยที่โดนจวกทุกอิริยาบถ เนื่องจากโดนเหมารวมกันหมดว่าไร้ซึ่งความรับผิดชอบชั่วดีต่อสังคม บวกกับอารมณ์ของผู้คนเองซึ่งกำลังเกรงกลัวโรคอย่างหนัก แถมยังมีข่าวออกมามากมายถึงความไม่ Give a fuck ใดๆของเหล่าชน(ผี)กลุ่มนี้ ทำให้ประชาชนบนดินยิ่งหวาดกลัว ใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน

รายการทีวี บล๊อกเกอร์ เพจ ต่างๆ นาๆ ได้เชิญผู้คนมากมายมาให้ความเห็นและข้อมูลจากหลายมุมมอง นักวิชาการเองก็ออกมารณรงค์เตือนทั้งวิธีการกักบริเวณตัวเองสำหรับทุกๆคนที่เดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงและการสร้างสถานที่กักกันอย่างจริงจังซึ่งเป็นสิ่งควรทำ ในขณะที่ตัวแทนประชาชนก็ออกมาบอกถึงความกังวลที่ไร้การแก้ไข แม้กระทั่งมุมมองจากผีน้อยเองเราก็ยังมีให้ฟัง แต่สิ่งสำคัญที่สุด ที่ยังขาดอยู่คือการชี้แจงเพื่อความกระจ่างทางข้อมูลและการตัดสินใจที่เด็ดขาดของรัฐ ซึ่ง ณ ขณะนี้ การกักตัวเองคือวิธีที่รัฐบาลตัดสินใจใช้เพื่อควบคุมการกระจายโรค โดยไม่มีทั้งแผนการณ์ติดตามการควบคุมโรคที่ต่อเนื่อง มีเพียงการโทรติดตามเพื่อตรวจสอบสถานะแต่ก็เห็นกันอยู่ว่าไม่สามารถหยุดผู้คนซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงในการดำเนินชีวิตตามปกติได้

เมื่อบุคคลจากกลุ่มเสี่ยงยังสามารถเวียนว่ายอยู่ในสังคมบนดิน ความกลัวการระบาดขอคนทั่วไปก็ยิ่งทวีคูณ เป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ และเมื่อการป้องกันล้มเหลว มีการติดเชื้อเพิ่ม ท่านผู้นำก็ได้แต่เพียงชี้นิ้วโทษประชาชนว่าไร้จิตสำนึก แม้ท่านเองจะยังไม่ได้ทำอะไรที่มีประสิทธิภาพเลยก็ตาม (และขอคะแนนเสียงคืนด้วยการแจกเงินเยียวยาซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการการเยียวยาระยะสั้นหรือต้องการนโยบายที่มีประโยชน์จากรัฐมากกว่า)

คำถามจริงๆคือ ‘การกักตัวเอง’ เป็นวิธีที่ใช้ได้จริงหรือเปล่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งคำตอบก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว ว่ามันไม่เวิร์ค

การสร้างสถานที่กักกันคนชั่วคราวเพื่อควบคุมโรคระบาดเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรรีบจัดการมากที่สุด ควรเป็นมาตรการหลักที่ขยับความเข้มข้นขึ้นมาหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐก็ไม่สามารถเล็งเห็นถึงจุดหลักนี้ ประกอบกับการที่รัฐใช้เพียงการขอความร่วมมือจากผู้เดินทาง ไม่มีความหนักแน่นในการบังคับใช้กฏ ทำให้การกักตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ และนำไปถึงความล้มเหลวในการต้านการระบาดของโรค

หรือนี่จะเป็นบทเรียนของเรา ที่เราไม่ควรเอาผู้รับเหมามารับมือโรคติดต่อ นักวิชาการไม่ฟัง ฟังแต่นักวิชากู ?

ทำไมไม่มีการกักกันคนพวกนี้ในสถานที่ที่รัฐบาลจัดไว้ และมีการชดเชยให้กับคนที่ไม่สามารถไปทำงานได้บ้าง? ในกรณีนี้รัฐก็จะได้แน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่สามารถออกไปแพร่เชื้อที่ไหนได้ และไม่ต้องตามล้างตามเช็ดที่ปลายเหตุ

เอาจริงๆ คนไทยเนี่ย ดื้อจะตาย หายากนะที่จะทำตามกฎ(หมาย)ทุกขั้นตอน เพราะบ้านเมืองเรามันคงชินกับคำว่า เส้นสาย และ ส่วย จนทำให้เราลืมไปว่า เรามีกฎระเบียบไว้เพื่ออะไร

ตอนนี้ อย่ามัวแต่รุมด่าผีน้อย เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเขาผู้เดียว เขาสามารถพูดกลับได้อย่างแฟร์ๆนะ ว่าคนกลุ่มอื่น อย่างพวกที่ไปทำงานถูกต้องตามกฎหมาย หรือแม้แต่คนที่ไปเที่ยวกันแบบสบายใจ แต่ถ้าเขากลับมาประเทศไทยและไม่กักตัว เขาก็เป็นพาหะแพร่เชื้อได้เหมือนกัน

เชื้อโรคอะ มันไม่เลือกหน้าพาสปอร์ตนะ มันไม่แคร์หรอกว่าวีซ่าคุณขาดหรือยัง

เราคิดว่าเรื่องนี้มีต้นตอมาจากรัฐบาลโดยตรงมากกว่า

รัฐบาลซึ่งมองเห็นถึงปัญหาทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์ปัญหาในอนาคตได้บ้างแล้ว มองเห็นถึงกระแส ของความเกลียดชังอยู่ทุกวัน แต่กลับโยนความรับผิดชอบนี้มายังประชาชน ไม่หนักแน่น ไม่เข้มแข็ง ให้เค้าป้องกันตัวเอง ให้เค้ากักบริเวณตัวเอง โดยรัฐแค่ยืนบอกให้เค้าทำตามเฉยๆ มีท่านๆนายพลยืนชี้นิ้วสั่งลูกน้องตามเคย

บางทีก็คงจะลืมไปว่าบางคนที่กลับมาเค้ากักบริเวณตัวเองไม่ได้ เพราะมีภาระหน้าที่ และไม่มีเงินพอที่จะหยุดงาน 14 วันเพื่อนอนกินอยู่กับบ้านได้ การที่รัฐให้สิทธิประชาชน “เลือก” ในสิ่งที่เค้าไม่ควรจะเป็นคนเลือก คือการไม่รับผิดชอบใดๆต่อการแพร่ระบาดของโรคนี้โดยรัฐ เพราะตอนนี้ทุกคนที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง คือพาหะทั้งหมด ไม่ใช่แค่ผีน้อย หรือแรงงานกลับบ้าน มาตรการณ์การกักตัวควรจะถูกนำมาบังคับใช้กับทุกๆคนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ทั้งคนไทยที่กลับจากท่องเที่ยว รวมถึงคนต่างชาติที่จะเข้ามาในไทยก็เช่นกัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเลือกปฏิบัติต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งๆที่มีต้นตอของปัญหาอย่างเดียวกัน

เราไม่ควรเอา GDP ประเทศมาเป็นข้ออ้างในการจัดการกับโรคระบาด เพราะเม็ดเงินที่เสียหายจากการท่องเที่ยว(จากการกักตัวนักท่องเที่ยว) คงเปรียบเทียบกับความปลอดภัยของประชาชนในประเทศเราไม่ได้ และคงไม่คุ้มกับการตามเช็ดล้างปัญหาที่จะตามมาจากการลุกลามของโรค

เอาจริงๆ เรื่องนี้หยั่งรากไปถึงการปฎิบัติงานของรัฐบาลโดยตรง ตั้งแต่ข่าวโรคโควิดแพร่ระบาดเริ่มต้นขึ้นเมื่อมกราคม เรายังจำได้ว่าข่าวที่รัฐมนตรีหรือนายกแถลง มันไม่ค่อยจะสอดคล้องกับข่าวที่ต่างชาติเผยแพร่สักเท่าไหร่ ทุกวันนี้คนไทยที่อ่านอังกฤษออก แปลได้ เค้าก็คงเลือกเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ที่มากจากรัฐบาลประเทศอื่นได้หมดแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องนั่งรอให้รัฐเป็นคนบอกอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว เค้าหาอ่านแล้วเอามาคิดเองได้

การที่รัฐไม่เป็นจุดรวมของการกระจายข่าวอีกต่อไป รวมถึงความไม่โปร่งใสซึ่งเป็นความมั่นคงหลักของรัฐบาลนี้ ทำให้ความศรัทธาในข้อมูลและการตัดสินใจของรัฐจากประชาชนลดลงอย่างฮวบฮาบเช่นกัน

ประชาชนเค้าไม่โง่ เค้าใช้กูเกิ้ลเป็น อย่าลืมนะลุง

Loading next article...