สมัยนั้นปิ่นเกล้ายังเป็นพื้นที่ชานเมือง ทั้งๆที่แค่เดินทางข้ามสะพานจากฝั่งพระนครมาแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้นเอง ในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ที่นี่อาจเป็นเพียงจุดแวะกินข้าวก่อนจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดใกล้เคียง อย่างเช่น นครปฐม ราชบุรี หรือกาญจนบุรี หรือเป็นแหล่งนัดพบของคนในละแวกนี้เท่านั้น

ลิฟท์แก้วที่หันหน้าออกสู่ท้องถนน เรียกความสนใจจากลูกค้ามากมาย ทุกครั้งที่ได้ไป เด็กอย่างฉันจะตื่นเต้นกับการยืนเกาะกระจกดูวิวที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนไปหยุดที่ชั้นสูงสุดคือสวนสัตว์พาต้า ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมากในวัยนั้น การได้เดินเล่นในร่มแล้วเห็นคิงคอง นกเพนกวิน เต่ายักษ์ และนกแก้วมาคอว์ ในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไม่ต้องหน้ามันย่อง ตากแดดจนเหงื่อไหลไคลย้อย ยิ่งทำให้ประทับใจมากขึ้นไปอีก จนถึงขั้นว่าบางวันสามารถล้างหน้าแปรงฟัน กินมื้อเช้า และมาดูสวนสัตว์ทั้งชุดนอนได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเลย


การมาถึงของเซ็นทรัลปิ่นเกล้านำเอาความสดใหม่และหรูหราทันสมัยอย่างที่คนฝั่งธนไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหมือนกับภูเขาไฟที่จู่ ๆ ก็ระเบิดขึ้น ปลดปล่อยลาวาร้อนแรงทำลายล้างคู่แข่งที่อยู่โดยรอบจนหมดสิ้น


ระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัยที่สุดคือรถเมล์ปรับอากาศและรถไฟที่ยังคงสภาพออริจินอลมาแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 กว่ารางรถไฟฟ้าจะเมตตาต่อเส้นทางมาถึงฝั่งธนก็ปาเข้าไปกว่า 20 ปี นับจากวันแรกที่ระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสถือกำเนิดขึ้น แต่ทุกวันนี้ปิ่นเกล้ามีสถานีที่ใกล้ที่สุดคือสถานีบางหว้า ถึงแม้ว่ามันก็ต้องเลี้ยวไปจากแยกบรมราชชนนีไปอีกหน่อย ไม่ได้มีบันไดลงตุ๊บมาที่หน้าห้างหลักของแถวนี้เหมือนที่อื่นเขาก็เถอะ

ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าในวันที่ความสะดวกสบายและความเจริญเข้ามาถึงจริงๆ ฉันจะได้มานั่งคิดถึงวิถีชีวิตแบบเก่าๆแบบนี้อยู่บ้าง

