‘เหลือใช้’ แต่ ‘ไม่เหลือทิ้ง’

เราคุยกับ ‘มูลนิธิกระจกเงา’ แล้วได้รู้ว่า… การบริจาคสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ตรงจุด นอกจากจะทำให้ไม่เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วยังทำให้เกิดขยะ

แต่การทำให้ถูกต้อง ถึงมือ และเห็นผลจริง ๆ นั้น เราควรบริจาคยังไงบ้าง?

ใต้แสงแดดช่วงสายของวันที่ร้อนจัด  ภาพพนักงาน4-5คนกุลีกุจอกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข็นรถเข็นเข้ามาประชิดรถอย่างทะมัดทะแมง พากันช่วยยกของบริจาคลงจากท้ายรถ ก่อนจะเข็นรถเข็นเข้าไปใต้หลังคาอาคารกึ่งโกดังเพื่อนำของไปแยกประเภท ยังไม่ทันที่กลุ่มเดิมจะได้พักหายใจ รถคันใหม่ก็เข้ามาจอดเทียบอยู่เรื่อย ๆ 

เรายืนสังเกตการณ์เหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ซักระยะ ก่อนจะเดินเข้าไปในรั้วของ ‘มูลนิธิกระจกเงา’ อย่างเกร็ง ๆ เพราะกลัวจะเกะกะหรือไปชนกับพนักงานคนไหนเข้า แล้วทำให้งานช้าลงอีก

นี่คือภาพแรกที่เราเห็นในวันนั้น และเป็นภาพแรกที่นึกถึงในวันนี้ ถ้าหากพูดถึงมูลนิธิกระจกเงา

เราเข้ามาภายในห้องติดแอร์เล็ก ๆ ข้างโกดังคัดแยกของบริจาคเพื่อคุยกับพี่ออยคนคุมโครงการ ‘แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนเเปลง’ หรือก็คือโครงการที่ส่งต่อของบริจาคไปยังพื้นที่ที่ขาดแคลน

ก่อนหน้านี้เรามักจะเห็นและได้ยินคนพูดอยู่เสมอ ๆ ว่าการบริจาคคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ถ้าการเมืองดีทุกอย่างจะดีเอง เพราะจะไม่มีผู้ยากไร้มาคอยรับของ การที่จะมาช่วยเหลือกันเองแบบนี้ไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนด้วยซ้ำ เราฟังแล้วก็คล้อยตาม เพราะรู้สึกว่าเป็นแนวคิดที่ถูกเหมือนกัน แต่กับมืออาชีพด้านสังคมสงเคราะห์เค้าจะมีความคิดเห็นยังไงกัน เราเก็บคำถามนี้ไว้ในใจอยู่นาน ก่อนจะกล้าถามออกไป

“อย่างการบริจาคของอะไรแบบนี้บางคนเค้ามองว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ พี่คิดยังไงครับ?” เราถามออกไปด้วยอารมณ์กล้า ๆ กลัว ๆ 

“คืออยู่ที่ว่าเราใช้เงินทำงานแบบไหน ถ้าเราให้เงินเค้าไป อย่างคนเค้าเดือดร้อน คนเค้ามาหาเรา เราให้เงินเค้าไป ก็ได้แค่เงินเท่านั้น แต่ถ้าเราใช้เงินทำงานในอีกแบบนึง ที่นี่เรามีเจ้าหน้าที่ที่จะดูแล พัฒนาคุณภาพชีวิต นู่นนี่นั่น” พี่ออยตอบกลับมาอย่างเข้าประเด็น… ดูเหมือนพี่ออยจะเจอคำถามนี้บ่อย

พี่ออยขยายความต่อว่าที่นี่จะมีโครงการที่จะคอยดูความสนใจของคนที่ลงพื้นที่ไปช่วย อย่างเช่นมีเคสนึงสนใจที่จะเพาะเห็ดขาย ทางมูลนิธิก็จะช่วยส่งเสริมอาชีพให้ คือสอนวิธีทำ หรือถ้ายังไม่มีเงินทุนก็จะมีการหาหัวเชื้อมาให้ก่อน พอเริ่มมีรายได้ก็ค่อยผ่อนคืน

ผิดไปจากที่คิด เราคิดว่าคนที่นี่จะ ‘บ้าทำบุญ’ เหมือนเหล่านักบุญในโซเชียลมิเดียซะอีก เพราะแบบนี้กลายเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและปลายเหตุไปได้พร้อม ๆ กัน

ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ เรารู้สึกว่าการจะรอแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ (ที่ระบบ) อย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนบางคนกำลังจะตาย เขารออีก10-20ปี ให้ระบบดีไม่ไหว มันเหมือนกับว่าคุณเห็นคนโดนรถชนแต่คุณเลือกที่จะเดินหนีแล้วไปรณรงค์เรื่องกฎจราจรแทน พอแก้ที่ระบบเสร็จ แน่นอนว่าคงไม่มีคนโดนรถชนอีก แต่คนที่โดนรถชนไปแล้วก็คงต้องเจ็บอยู่อย่างนั้น

จะดีกว่าไหมถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและปลายเหตุไปพร้อม ๆ กัน และแก้อย่างมีหลักการ ใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์ที่สุด ใครถนัดอย่างไหนก็ทำอย่างนั้น… ถึงบางคนที่เลือกจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างเดียวจะได้กระแส ยอดไลก์ แล้วก็ดูเป็นฮีโร่มากกว่าก็เถอะ

เราพบว่าตัวเองเป็นหนึ่งใน Hoarder หรือพูดภาษาบ้าน ๆ ก็คือพวกบ้าเก็บของ หวงของ ทำใจไม่ได้ที่จะต้องทิ้งอะไร ยกเว้นขยะ 

คือตั้งแต่เกิดมามีอายุเฉียด 30 ปี เราเคยบริจาคเสื้อผ้าแค่ครั้งเดียวเพราะโดนแม่บังคับ ทำให้เรารู้สึกแปลกใจและค่อนข้างตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นการบริจาคสิ่งของเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ตรงหน้า จนถึงตอนนี้ (บ่ายแก่ ๆ ) รถยนต์ที่มีของบริจาคอยู่เต็มท้ายรถก็ยังคงแวะเวียนมาไม่ขาดสาย ทำให้ทุกคนในนี้มีหน้าที่อะไรซักอย่างทำตลอดเวลาจนหมดวัน

พี่ออยเล่าว่าโครงการ ‘แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง’ มีของบริจาคมาจากทั่วสารทิศในประเทศไทย ทั้งมาไกลจากสุดเขตชายแดนหรือมาจากใจกลางเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ทั้งมาส่งเอง, ส่งพัสดุ, หรือใช้บริการ Delivery ของทางมูลนิธิที่เห็นว่าฟรี 10 กิโลแรก ก่อนที่จะผ่านการคัดแยก และถูกส่งไปยังหน่วยงานยิบย่อยอื่น ๆ ในแต่ละพื้นที่เพื่อกระจายของไปยังพื้นที่ขาดแคลนอีกที

ของทุกชิ้นถูกแยกประเภทและจัดแจงเอาไว้สำหรับส่งต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีการเหลือทิ้ง เพราะทางมูลนิธิจะจะรับข้อมูลของในแต่ละพื้นที่มาว่าต้องการของประเภทไหนและกี่ชิ้น โดนส่วนมากจะส่งไปยังเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ และกลุ่มนักจัดกิจกรรม จะมีบ้างเป็นบางทีที่พี่ออยก็ได้ลงพื้นที่ไปแจกของเอง

“มันเหมือนในทีวี ในละคร ในหนังมั้ยพี่ ที่แบบเวลาไปมันจะต้องลำบาก ๆ รถมันจะต้องติดหล่มบ้าง อะไรแบบนี้ มันมีแบบนั้นบ้างมั้ย? หรือเดี๋ยวนี้เจริญหมดละ” เราเริ่มตั้งคำถามจากภาพจำที่เป็น Stereotype 

“มีค่ะ แต่ว่าในการส่งต่อที่จะลำบากขนาดนั้น ส่วนใหญ่ทางเครือข่ายที่มารับเค้าจะดำเนินการส่งต่อด้วยตัวเค้าเอง ของเราก็จะส่งไปที่หน่วยใหญ่ ๆ ให้เค้ากระจายต่อ อย่างที่ีพี่เคยเอาไปก็ ไปได้แค่ครึ่งทาง เพราะว่าตัวน้ำมันหลากผ่าน รถยนต์เลยผ่านไม่ได้ อะไรแบบนี้อะค่ะ ก็ต้องขอความร่วมมือจากชาวบ้าน และผู้ปกครองของเด็ก ๆ เอามอเตอร์ไซค์มารับค่ะ ซึ่งตัวเจ้าหน้าที่และพี่ ๆ ที่ทำกิจกรรมเนี่ยไม่สามารถเข้าถึงได้” พี่ออยตอบให้เราคลายสงสัย ก็ดูเหมือนว่าในทีวีจะไม่ได้โฆษณาเกินจริงเท่าไหร่

“เป็นเหมือนกองกำลังมด คือครูใหญ่เค้าก็จะประสานไว้อะ ว่าจะมีกลุ่มนี้เค้าเอาของมานะ ของมีประมาณนี้ ๆ ๆ เค้าก็จะจัดรถเลยว่าต้องใช้รถกี่คัน แล้วก็นัดเจอกันตรงที่ที่ใกล้ปลายทางที่สุด แล้วก็เริ่มกระจายของ ถ่ายรูปรับมอบกันตรงนั้นเลย แล้วเราก็ให้ข้อมูลกับคุณครูว่าของมีอะไรบ้าง” พี่ออยเล่าต่อ และสาเหตุที่ต้องถ่ายรูปก็ไม่ใช่เพื่อการเอาหน้าอะไร แต่ก็เพราะว่าเป็นการป้องกันคนแอบอ้างเอาของบริจาคไปขาย

นอกจากนั้นพี่ออยยังขยายความต่อว่าวันนั้นมีมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านเข้ามาช่วยวิ่งวนรับส่งของประมาณ 20 กว่าคัน เพื่อนำของบริจาคประมาณหนึ่งคันรถกว่า ๆ ขึ้นไป แต่ก็ดูจะไม่ใช่ปัญหาของชาวบ้านแถวนั้นที่ขับขึ้นลงจนชิน

“ใช่ค่ะ เราก็จะประเมินแล้วว่าใช้เท่าไหร่ ยังไง ก็จะส่งให้ตามนั้น ไม่ใช่ว่าแบบต้องการเสื้อผ้าแล้วเราส่งเสื้อผ้าทุกประเภทเข้าไปอย่างงี้”

เรื่องที่เราเคยกังวลว่าของบริจาคจะมีเหลือทิ้งหรือบริจาคไปไม่ตรงจุดก็ไม่ได้มีเกิดขึ้นที่นี่ เพราะทางมูลนิธิจะประเมินจากข้อมูลที่หน่วยงานต่าง ๆ ส่งมา หรือติดต่อประสานกันว่าต้องการของประเภทไหน ปริมาณเท่าไหร่ แล้วทางมูลนิธิก็จะส่งของไปตามจำนวนที่ร้องขอ และแน่นอนว่าจะต้องมีการถ่ายรูปเพื่อเป็นหลักฐานการรับมอบเพื่อความโปร่งใส

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยเราเด็ก ๆ มีสิ่งนึงที่เราสงสัยมานานมากคือ ทำไมบางพื้นที่ถึงรับบริจาคเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าอยู่ทุก ๆ ปี ทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าที่เราใส่ หลายตัวก็ใส่ได้หลายปี เมื่อได้จังหวะเลยถามพี่ออย

“คือตอนที่ไปทำที่อุบลอะค่ะ เอาเสื้อกันหนาวไปแจก เค้าบอกว่าอยากได้เสื้อกันหนาว หน้าหนาวกำลังจะมาถึงแล้ว ของเก่าที่เค้ามีมันไปกับน้ำหมดแล้ว” 

พี่ออยอธิบายต่อว่าก็เพราะหลายพื้นที่ยังมีปัญหาน้ำท่วมอยู่ หลายครั้งที่เสื้อผ้าลอยไปกับน้ำ หรือว่าเลอะน้ำ ซึ่งก็เป็นน้ำสีโคลน ๆ พอซักแล้วก็ไม่เหมือนเดิม หลายพื้นที่ก็เลยยังต้องการเสื้อผ้าทุกปี เพราะพื้นที่ที่น้ำท่วมเนี่ย ก็จะท่วมซ้ำ ๆ วนอยู่ทุกปีนั่นแหละ

พอได้มาฟังแบบนี้มนุษย์ที่หวงของอย่างเราก็เข้าใจมากขึ้นว่าการจะบริจาคอะไรก็ต้อง Research มากกว่าที่คิด ต้องมีข้อมูลแน่นประมาณนึง ไม่อย่างนั้นถ้าเราสักแต่ว่าจะบริจาค ของบริจาคก็จะสูญเปล่า เหลือทิ้งเป็นขยะซะเปล่า ๆ

หลังจากนี้ถ้าเกิดว่ามีความคิดอยากบริจาคอะไรก็คงบริจาคผ่านที่นี่แหละ เพราะของคงถึงมือคนที่อยากได้จริง ๆ มากกว่าจะให้คนที่ขี้เกียจอย่างเราเอาไปบริจาคเอง (เพราะคงไม่หาข้อมูล เอาไปให้ดื้อ ๆ เลย)

แล้วถ้าวันไหนอยากไปต่างจังหวัดก็ค่อยไปเที่ยวเอาก็ได้

พี่ออยเล่าว่าหลายครั้งที่เวลาทางมูลนิธิช่วยใครก็มักจะมีคนติดใจ อยากมาทำงานด้วย อย่างเช่นตอนเกิดวิกฤต COVID-19 แรก ๆ ทางมูลนิธิมีงานใหญ่คือการส่งต่อของให้คนเดือดร้อนจากโควิด  มีของส่งเข้ามาเยอะมากจนต้องจ้างฟรีแลนซ์ พอเสร็จสิ้นโครงการก็มีคนขอมาสมัครทำงานประจำด้วย *

“ใช่ ตอนนั้นก็จะมีการระดมทั้งกำลังทรัพย์มาเพื่อสนับสนุนคนกลุ่มนี้ให้มีอาชีพให้มีงานทำ โดยมาทำกับเรานี่แหละ เราก็เป็นคนจ้างเค้า เพื่อมาแพ็กกล่องยังชีพหรือมารับของบริจาคทั้งหลายที่เข็นรถเข็นทั้งหลายตรงนี้”

พี่ออยพูดไปพรางชี้มือออกไปทางด้านหน้ามูลนิธิที่มีการส่งมอบของบริจาคไปพราง

“ก็มีคนแบบมาขอทำด้วย ขออยู่ยาว ๆ เลย อะไรแบบนี้ แต่ถ้ารับของเราไปแล้วอยากมาทำงานด้วยนี่ยังไม่เจอ แต่ถ้าตามต่างจังหวัดนี่ที่เจอก็มีถามเราว่า ‘พี่ทำงานที่ไหนครับ? เดี๋ยวโตขึ้นผมจะมา’ หรือแบบ ‘โตขึ้นหนูจะไปทำงานกับพี่’ อันนี้มีตลอด”

ก็ฟังดูโรแมนติกดีนะ ที่นอกจากผู้รับจะได้รับของแล้ว ยังได้แรงบันดาลใจอีกด้วย

พี่คิดว่าเพราะประเทศมันแย่หรือเปล่า มันถึงต้องมีมูลนิธิกระจกเงา?

 

“เราเป็น… เราเป็น…. องค์กรนึงที่มองเห็นช่องว่างที่เกิดขึ้น เราก็เลยเสนอตัวเองเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้ อย่างเช่นเราเห็นอยู่ว่านี่คือผู้ป่วยข้างถนน ที่นอนอยู่ข้างถนนเนี่ย เราก็เห็นละ

แล้วทำไมเราจะไม่ช่วยล่ะ?” พี่ออยตอบเรา ก่อนจะเงียบไปอึดใจนึง แล้วพูดกับเราต่อ

“แล้วผู้เกี่ยวข้องล่ะ? แล้วเราช่วยอะไรได้บ้าง? เราอาจจะช่วยในการเป็นหูเป็นตา ช่วยเป็นตัวกลางในการประสาน ก็คือช่วยลดช่องว่างที่เราเห็นมันเกิดขึ้นในปัญหาสังคม”

“ซึ่งแปลว่า ถ้าทุกอย่างมันดีขึ้น มันอาจจะไม่ต้องมีมูลนิธิกระจกเงาอีกแล้ว แบบถ้าทุกคนไม่ลำบากแล้วอะ อันนี้คือความฝันสูงสุดของคนที่ทำงานที่นี่หรือเปล่า?” เราถามต่อ อันที่จริงก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าคำถามมันกวนโอ๊ยเกินไปหรือเปล่า แต่ก็มันอยากรู้จริง ๆ นี่นา

“ถ้าเป็นโปรเจ็กต์เรามีเป้าหมายของโปรเจ็กต์นั้น ๆ อยู่แล้ว ว่าปลายทางมันคืออะไร แล้ววางแผนไว้ว่ากี่ปีที่มันจะประสบความสำเร็จ แล้วเราจะทำได้มั้ย เราจะเดินทางไปถึงเป้าหมายนั้นมั้ย เมื่อมันเดินทางไปถึงเป้าหมายนั้นได้ เราหยุด อยู่ที่ปัญหาที่เข้ามาและโปรเจ็กต์ที่เรามี อย่างบางทีเราเริ่มต้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโปรเจ็กต์นี้จะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ที่จะแก้ไขปัญหา หรือทำให้มันไปถึงจุด ๆ นึงได้  ซึ่งอาจจะไม่ได้หมายความว่าทั้ง…ทั้งประเทศนี้หมดปัญหานี้ แต่อาจจะแค่ว่ามันอาจจะถูกจัดอยู่ในระดับของความสำคัญของรัฐบาลแล้ว สมมตินะคะ”

“อ๋อ แบบเค้าเริ่มมาสนใจปัญหานี้กันแล้ว”

“ใช่ สมมติเค้าเริ่มมาสนใจ แล้วมีหน่วยงานที่จะมาดูแลเรื่องนี้ต่อละ นั่นก็คือเราอาจจะยุติบทบาทในเรื่องนั้น เพราะว่าเราผลักดันสำเร็จแล้ว อาจจะไม่ได้หมายความว่าทั้งประเทศหมดปัญหาแล้ว” พี่ออยอธิบายให้เราฟังส่งท้ายก่อนที่เราจะขอออกไปเดินดูการรับบริจาคของ ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงเลย

 

**, ***

 

* https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/883159 

** https://taejai.com/en/d/flood_esan/ 

*** https://taejai.com/th/d/flood_north2020/

Loading next article...