ตรุษจีน – เซี่ยงไฮ้ – ไวรัส
วันที่ 20 มกราคม 2020

ถ้าผมรู้ว่าไวรัสอู่ฮั่นจะกลายเป็นโรคซาร์สเวอร์ชั่นสอง ผมก็คงแคนเซิลตั๋วอยู่ฉลองตรุษจีนที่สิงคโปร์ต่อแล้ว

ผมรักอาม่า แต่ก็ไม่ได้รักมากพอจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงติดเชื้อและถูกกักตัวขังเดี่ยวอยู่ในโรงพยาบาลหรอกนะ

อาม่าก็คงเห็นด้วยแหละ ถ้านางไม่ได้แก่ขนาดนี้ก็คงลากผมไปตบหน้าให้ได้สติซักทีว่าลื้อทำอะไรลงไปเนี่ย หา !!

ผมต้องบอกก่อนว่าตอนที่ขึ้นเครื่องบินมาสนามบินซ่างไห่ผู่ต่ง ไวรัสอู่ฮั่นไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยังทำหน้าที่ปกติโดยที่ไม่ใส่หน้ากาก ไม่มีเครื่องตรวจวัดไข้ ผู้โดยสารก็เดินทางกันปกติ คนขับแทกซี่ไม่ได้พูดถึงไวรัสอะไรทั้งนั้น

เอาแต่บ่นเรื่องที่น่าเบื่อสุดๆอย่างอื่นแทน

วันที่ 21-22 มกราคม 2020

ผมนั่งอ่านข่าวเกี่ยวกับคนที่ติดโรคในเซี่ยงไฮ้อยู่ที่เกสเฮ้าส์แห่งหนึ่งในเมืองซูโจวมาตั้งแต่เช้า ตอนแรกก็ห่วงอยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ คนขับรถ คุณลุง ทุกคนที่นี่ก็ดูปกติ ไม่ได้พูดถึงสถาการณ์ในวู่ฮั่นที่เริ่มแย่ลง (ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 300 ราย) แต่คุยกันเรื่องเศรษฐกิจของภูมิภาค การเมือง แล้วก็เรื่องทั่วๆไป

บ่ายวันนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ตอนแรกมีคนเชิญให้ไปรับประทานอาหารเย็นกับผู้อำนวยการบริษัทก่อสร้างใหญ่แห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกยกเลิก ข้าราชการทุกคนถูกเรียกตัวให้ไป ‘ประชุมด่วน’

วันที่ 23 มกราคม 2020

หลังจากตื่นนอนแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมพบว่าเมืองเซี่ยงไฮ้ที่เคยเห็นได้กลายเป็นอีกแบบไปแล้ว ข่าวใหญ่ในวีแชทของวันนี้คือ ‘เชื้อโรคจากอู่ฮั่นลุกลามเกินควบคุม’ ห้ามคนเข้าออกจากเมือง ทั้งเครื่องบิน รถไฟ หรือรถยนต์ คำที่คนข่าวตะวันตกใช้คือ ‘ปิดการเดินทาง’ ส่วนโซเชียลมีเดียจีนใช้คำว่า ‘เฟิง เฉิง’ แปลว่า ‘ปิดเมือง’ ซึ่งผมรู้สึกว่าฝั่งจีนใช้คำได้เหมาะสมมากกว่า ถ้าดูจากภาพข่าวที่ปรากฏแล้วก็จะเห็นว่าสถานีรถไฟไม่มีคนเหลืออยู่เลย หรือชั้นวางของในซูเปอร์มาร์เก็ตว่างเปล่า มีจุดตรวจอยู่ทั่วเมือง

ข่าวที่เพิ่งออกส่งผลกระทบกับคนบนท้องถนนทันที คนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งสวมหน้ากากมิดชิดและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ ‘อู่ฮั่นไวรัส’ กลายเป็นหัวข้อหลักที่ทุกคนพูดถึงในชื่อ ‘โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา’ เริ่มมีคนบ่นว่าหาซื้อเจลฆ่าเชื้อยากขึ้น มีข่าวลือว่าจริงๆแล้วมีคนป่วยมากกว่าจำนวนที่ประกาศ แต่รัฐบาลพยายามจะปกปิดข้อมูล ความกลัวเริ่มแพร่ขยายไปทุกมุมถนน ไม่มีใครไม่พูดถึงมัน

ผมเจอลุงแก่ๆคนนึงกำลังตะโกนใส่พนักงานร้านวัตสันซ้ำไปซ้ำมาว่าหน้าหน้ากากโฟมสีดำที่เค้าพยายามชูขึ้นมาโบกนี่กันไวรัสได้หรือเปล่า แต่พนักงานยักไหล่ไม่สนใจ เค้าเลยถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนพนักงานคนหนึ่งทนไม่ไหว ต้องบอกไปว่า “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?” ลุงก็เลยเดินปึงปังออกไปโดยที่ไม่ซื้ออะไรเลย พนักงานคนนั้นก็เลยหันมาสแกนลิปส์บาล์มที่ผมซื้อ แล้วก็พูดขึ้นมาลอยๆว่า “ฉันจะไปรับผิดชอบอะไรอย่างนั้นไหวได้ยังไง เกิดบอกไปว่าได้แล้วมันใช้ไม่ได้ หรือมีอะไรเกิดขึ้นมาก็แย่สิ” ผมหันไปยิ้มครึ่งหน้าแบบแกนๆให้ (เพราะอีกครึ่งถูกคลุมอยู่ใต้หน้ากาก) แต่ในใจกำลังคิดว่าจะมีสบู่กับหน้ากากเหลือให้ซื้อเพิ่มมั้ยเนี่ย นี่ขนาดคนยังไม่ตื่นตัวกันนะ

ตำรวจหญิงในพิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ที่จัตุรัสประชาชนตรวจบัตรและวัดอุณหภูมิในตัวผมด้วยรังสีอินฟาเรด เธอถูกล้อมด้วยตำรวจอีกสี่คนที่แต่งตัวเต็มยศ พร้อมที่จะพุ่งเข้าชาร์จคนที่ขัดขืนทุกเมื่อ ข้างนอกมีรถพยาบาลจอดรออยู่ พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ความอยากเห็นเฟอร์นิเจอร์สมัยราชวงศ์หมิงของผมก็ค่อยๆหมดไปหลังจากเดินเล่นอยู่ได้ซักชั่วโมง นาทีนี้คนข้างนอกเริ่มบางลง และถึงแม้จะร้อนอบอ้าวแค่ไหนก็ไม่มีใครเอาหน้ากากออกเลย ตอนเดินออกมาผมยังได้ยินตำรวจกำชับกับให้เจ้าหน้าที่กั้นคนไม่ให้เข้าทางประตูหลัง ถึงแม้จะแค่อยากมาซื้อพวงกุญแจในร้านขายของที่ระลึกก็เถอะ ทุกคนต้องผ่านด่านตรวจอุณหภูมิที่อยู่ข้างหน้าให้เรียบร้อยซะก่อน ทางโรงพยาบาลเองก็เตรียมความพร้อมแบบเดียวกัน สัญลักษณ์กากบาทสีแดงขนาดใหญ่ถูกติดตั้งไว้ทั่ว พร้อมกับคำแนะนำให้คนที่มีไข้สูงเกิน 37 องศาเข้ารับการรักษา

ระหว่างกินข้าวเย็น ญาติผมเดินใส่หน้ากาก N95 และหิ้วเทอร์โมมิเตอร์อินฟาเรดที่ซื้อมาจากเว็บเถาเป่าในราคา 77 หยวนเข้ามา ก่อนจะแจกหน้ากากให้ผมเพิ่ม พร้อมกับเล่าว่า ‘เขาว่ากันว่า’ คนวู่ฮั่นเริ่มอพยพเข้าเซี่ยงไฮ้ทางรถบัส เพราะที่นี่มีระบบพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองจีน ซึ่งบางคนดันเอาเชื้อร้ายติดตัวมาด้วย

ญาติผมบอกว่า “น่าจะบอกพวกมันให้ไปตายซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับ”

ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเขาเท่าไหร่ แต่ก็ลืมภาพรถที่กำลังเข้าคิวเติมน้ำมันกันยาวเหยียดที่เห็นในข่าวไม่ได้ พวกเขาจะไปไหนกันล่ะ ถ้าไม่ได้ขับหนีมาเมืองอื่น นี่เป็นข่าวจริงหรือปลอมกันแน่ ผมควรจะทำยังไงถ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบพวกเค้า หลังจากที่คิดไม่ตกมาทั้งวัน สุดท้ายก็เผลอหลับไปตอนห้าทุ่ม ก่อนจะฝันเห็นอาม่ากำลังตายด้วยโรคปอดอักเสบ

วันที่ 24 มกราคม 2020

ตัวเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเงียบสงัด แต่ในย่านพักอาศัย คนก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ ร้านค้ายังคงเปิดให้บริการ ตลาดยังมีคนมาจับจ่ายมื้อเย็น แต่บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ไม่มีเสียงเย้าแหย่ ทุกคนรีบซื้อรีบกลับ ไม่มีใครหยุดเอ่ยคำอวยพรวันตรุษ ‘ซิน เหนียน ไคว่ เล่อ’ กันเหมือนอย่างเคย และที่สำคัญ ยังไม่มีใครสวมหน้ากากกันเท่าไหร่

ข่าวที่เซี่ยงไฮ้ดูจะแย่ลงเรื่อยๆ ทางการยืนยันว่าตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจาก 9 เป็น 20 คน และไม่ใช่ทุกคนที่เคยเดินทางมาอู่ฮั่น ตอนนี้เองที่ทางการจีนได้สั่งให้สร้างตึกผู้ป่วย 1,000 เตียงที่จำลองแบบมาจากโรงพยาบาลเซียวทังซาน ซึ่งเคยเป็นสถานพยาบาลโรคซาร์สเมื่อครั้งที่มันระบาดในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 2003 ทางนั้นส่งหมอมาเป็นทัพหน้าที่อู่ฮั่นสามทีม ก่อนจะประกาศเรียกรวมพลหมอและพยาบาลฉุกเฉินจากทั่วประเทศ

เย็นนั้น ผมนั่งล้อมวงกินข้าวกับญาติๆ หลังจากที่คุยเรื่องการทำงานของผมในสิงคโปร์จบ หัวข้อสนทนาก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นเรื่องยอดฮิตอย่างโคโรนาไวรัสทันที ข่าวลือบนโต๊ะบอกว่ามีคนหนีออกมาจากอู่ฮั่นกว่า 300,000 คน บางคนบอกว่าพวกเค้ามาฉลองวันหยุดในเซี่ยงไฮ้ดิสนี่ย์แลนด์ รอให้หายไข้ และจะไปหาหมอหลังจากที่เล่นสเปซ เม้าท์เท่นจนเบื่อกันซะก่อน บ้างก็ว่าเมืองอู่ฮั่นตกอยู่ในสภาวะที่ต้องใช้กฏอัยการศึก มีการเช็คอุณหภูมิของทุกคนที่เข้าและออกมา

เอ๊ะ ไม่ใช่ว่าเมืองถูกปิดไปแล้วเรอะ? ผมถาม เหล่าบรรดาลุงๆส่ายหน้าให้กับความไร้เดียงสาของผม

พวกเขาคุมคนในประเทศได้ แต่กับต่างประเทศล่ะ? โดยเฉพาะตามชายแดนที่ข้ามไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆ ญาติผมบอกว่าเขาพยายามล้างสมองเพื่อนร่วมงานของเขาเป็นคนอู่ฮั่นให้อยู่ในเซี่ยงไฮ้ต่อ แต่คนนั้นไม่ฟัง รั้นจะกลับไปอยู่บ้านให้ได้ สุดท้ายก็ติดอยู่ในนั้น ตอนนี้ยังออกมาไม่ได้เลย

แม่ผมซึ่งไม่ชอบได้ยินเรื่อง ‘ไม่เป็นมงคล’ แบบนี้ในงานวันปีใหม่ พยายามที่จะเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น อย่างเช่น หลานจะเรียนโรงเรียนไหนดี หรือราคาผลไม้ที่แพงขึ้น ซึ่งความพยายามแต่ละครั้งได้ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วด้วยข่าวที่น่าสนใจมากกว่า ไหนๆก็ไม่มีใครทำอะไรได้แล้ว เราก็เลยต้องหาทางควบคุมมันโดยการคุยกันให้มีข้อมูลมากที่สุดก่อน

หลังจากที่ซดซุปกันไปครึ่งชาม น้าของผมได้รับข้อความในวีแชทว่ามีคนจากหมู่บ้านเทียงหลิงในเซี่ยงไฮ้ถูกกักตัวเนื่องจากพบว่าป่วยเป็นไวรัสชนิดนี้ พอถึงตอนของหวาน อีกข้อความหนึ่งก็มาถึงในรูปแบบของเพื่อนบ้านที่ขึ้นมาหาพวกเราพร้อมกับหมาของเธอ หลังจากกล่าวคำอวยพรปีใหม่ตามธรรมเนียมแล้ว เธอก็เริ่มเล่ารายงานอย่างไม่เป็นทางการว่ามีคนป่วยที่โรงแรม อีกแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับโรงแรมที่ผมพักนิดเดียว เล่นเอาเสียวไปจนถึงกระดูกสันหลัง

หลังจากพารานอยด์ไปพักใหญ่ผมก็เริ่มได้ข่าวจากฝั่งโซเชียลมีเดียบ้าง มีทั้งภาพเมืองอู่ฮั่นกลายเป็นเมืองร้าง ภาพเซลฟี่กับคนจำนวนมากในโรงพยาบาล ตำรวจใส่หน้ากากยืนขึงเทปกั้นไม่ให้คนเข้าตึก ซึ่งไม่ได้มีที่มาจากนักข่าวชื่อดังที่น่าเชื่อถือ แต่เป็นภาพถ่ายจากมือถือที่ส่งกันไปมานี่เอง ภาพหนึ่งที่เป็นข่าวดังก็คือภาพผู้ชายคนหนึ่งในกล่องสีขาวขนาดใหญ่กลางสนามบิน

อีกภาพเป็นรูปคนจำนวนมากในโรงพยาบาลในอู่ฮั่น พร้อมกับแคปชั่น นี่ถ้ามีคนติดไวรัสจริงๆ ป่านนี้ก็น่าจะเป็นกันหมดแล้วนะ !
อีกภาพที่เป็นข่าวเขียนว่าการไปเยี่ยมญาติช่วงนี้ก็เท่ากับไปทำร้ายเค้า การรวมญาติก็ไม่ต่างอะไรกับการพาเค้าไปตาย
ไม่มีใครยืนยันอะไรได้เลย ในขณะที่ข่าวลือก็วนไปวนมาโดยที่ไม่ได้มีใครออกมาอธิบายอะไร ปล่อยให้ ‘ชาวเน็ต’ คิดกันเอาเองต่อไป จนกระทั่งในงาน Spring Festival Gala ที่ทาง CCTV จัดขึ้น ในนาทีสุดท้ายมีการพูดวิงวอนให้ชาวอู่ฮั่นอยู่กับที่ และไม่ออกมาแพร่เชื้อให้คนอื่นๆ

“ถึงแม้เราจะแยกกัน แต่เราส่งใจให้พวกคุณเสมอ” โฆษกหนึ่งประกาศ

นั่นก็แปลว่ามันจริงน่ะสิ พวกเราว่าคนกำลังหนีออกจากอู่ฮั่น ญาติผมบอกว่าน่าจะติดตามว่าพวกเขาไปอยู่ไหนกันบ้างโดยใช้แอคเค้าท์วีแชท หรือตามจากสัญญาณมือถือ ลุงของผมบอกว่านี่น่าจะเป็นพล็อตแบบอเมริกัน สุดท้ายพวกเราก็แยกย้ายกันตอนสามทุ่ม

วันที่ 25-26 มกราคม 2020

ปกติแล้วคนในเซี่ยงไฮ้จะหายไปเยี่ยมญาติที่อื่นช่วงตรุษจีน และเพิ่มขึ้นอย่างรวมเร็วเมื่อมีแขกมาเยือนในช่วงโกลเด้นวีค วันที่ยุ่งที่สุดคือวันที่สองของช่วงวันตรุษ เพราะมีญาติสนิทมิตรสหายมาเยี่ยมเยียนกันให้วุ่น ซึ่งปีนี้แปลกออกไป เพราะคนกลับบ้านนอกเซี่ยงไฮ้ แต่ไม่มีใครมาเลย ทำให้กลายเป็นเมืองร้าง ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงหนัง สถานที่ท่องเที่ยวอย่างเซี่ยงไฮ้ ดิสนี่ย์แลนด์หรือเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์และสถานที่ราชการทั้งหลายต้องปิดแบบไม่มีกำหนด ส่วนที่ยังคงเปิดทำการนั้นมีเพียงธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร และห้างสรรพสินค้า แต่ก็มีคนมาใช้บริการน้อยมากจนดูน่าสงสาร ถนนในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้เหมือนกับสวิตเซอร์แลนด์ตอนนี้ คือเงียบและไร้เงาของผู้คน ผมไม่เคยเห็นเมืองเป็นแบบนี้มาก่อน ถนนที่เคยคลาคล่ำกลายเป็นโล่งเตียน สถานีรถไฟกลายเป็นเหมือนโบสถ์ร้าง

บนรถไฟ ผมได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับแฟนสาวว่า “ผมบอกคุณแล้วว่าตัวเลขจริงๆมันพุ่งไปถึง 90,000 แล้ว”

บนแท็กซี่ คนขับรถใส่หน้ากากเต็มที่ เขาต้องชั่งใจระหว่างความปลอดภัยของตัวเองกับการทำงานแลกเงิน เขาพูดลอยๆว่าอยากให้รัฐบาลบอกให้บริษัทแท็กซี่ลดค่าเช่าลงบ้าง เพราะช่วงนี้ไม่มีลูกค้า ทำให้ไม่มีเงินจ่าย ขนาดฝรั่งที่เพิ่งไปรับมายังตัดสินใจกลับวันรุ่งขึ้นเพราะทุกอย่างปิดหมด แล้วอย่างนี้จะทำยังไงกันล่ะ?

คนขับรถพูดเสียงสูงขึ้นขณะที่ขับรถผ่านเดอะ บันด์ ถ้าเป็นช่วงปกติ น่าจะต้องเจอกับฝูงคนจำนวนมหาศาล แต่ตอนนี้เงียบเหมือนป่าช้า เราผ่านได้ภายในห้านาทีเท่านั้นเอง เขาส่ายหน้าแล้วบอกว่านี่มันประหลาดมาก!

ผมไม่ได้บ่นนะ แต่ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อที่ยืนยันแล้วเพิ่มจาก 33 เป็น 40 คน ป่วยหนัก 1 คน ตาย 1 คน ข่าวจากอู่ฮั่นเลวร้ายลงเรื่อยๆ อีก 12 เมืองในมณฑลหูเป่ยได้ถูกปิดตาย โรงพยาบาลแห่งที่สองกำลังถูกสร้างเพื่อรองรับผู้ป่วยที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้น

นั่นคือทั้งหมดที่ผมเห็น ไม่มีคนโดนทิ้งบนถนน ผมออกความคิดเกี่ยวกับการจัดการของรัฐบาลปักกิ่งในช่วงเวลาวิกฤตได้เพียงเท่านี้ ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมเจอมา

นานทีปีหนที่สื่อตะวันตกและสื่อจีนจะจับมือกันถล่มรัฐบาลว่าต้นเหตุของหายนะนี้เกิดจากการที่ทางการจีนเก็บงำปัญหาไว้ใต้พรมนานเกินไป ควรจะออกมาแจ้งเตือนให้เร็วกว่านี้ ความแตกต่างคือสื่อจีนเน้นการต่อว่าไปที่ทางการท้องถิ่นของอู่ฮั่น ส่วนสื่อตะวันตกอย่างนิวยอร์คไทมส์พุ่งเป้าไปที่ตัวรัฐบาล ซึ่งก็สมควร และเป็นสิ่งที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นนานแล้ว เพราะมันซ้ำรอยกับการระบาดของโรคซาร์สเมื่อ ค.ศ. 2003

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าวิกฤตโคโรนาไวรัสนั้นเป็นผลผลิตของการแบ่งชนชั้นและการปกครองแบบเจ้าขุนมูลนาย เพราะทุกๆการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับคนระดับบนๆเพียงไม่กี่คน ในซูโจว ไม่มีใครตกใจกับจำนวนผู้เสียชีวิตในอู่ฮั่น ไม่มีใครพูดถึงไวรัส ทุกคนกินดื่ม และไม่ใส่หน้ากากป้องกัน ญาติผมบอกว่ามีการตรวจวัดอุณหภูมิกันมาก่อนตรุษจีนเกือบสิบวันแล้ว นั่นแปลว่าต้องมีคนรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่มีอำนาจสั่งการมากพอ

ยิ่งไปกว่านั้น นี่แสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันของระบบสาธารณะสุขจีน นี่ไม่ได้โทษหมอ แต่พูดในแง่ที่ทุกคนรู้ว่ามันถูกใช้เงินภาษีไปเยอะมาก แม้กระทั่งในเซี่ยงไฮ้ โรงพยาบาลก็แน่น และกว่าจะได้รับการรักษาพยาบาลก็ยังต้องพึ่งเส้นสายและความรวยของคนไข้อยู่ดี โรงพยาบาลที่ขึ้นชื่อว่าดีอย่าง 301 ในเมืองปักกิ่ง และ Huadong ในเซี่ยงไฮ้ ถูกจำกัดให้บริการเฉพาะคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ ยกเว้นว่าคุณจะมีเส้นสายที่ใหญ่พอให้เข้าไปใช้บริการได้

สิ่งที่เกิดขึ้นในอู่ฮั่น ซึ่งเป็นเมืองใหญ่กว่า 11 ล้านคน ก็ไม่ต่างอะไรกัน ถ้ามีคนไข้จำนวนมากขนาดนี้ เชื่อว่าไม่มีโรงพยาบาลที่ไหนจะรองรับได้ ในขณะที่ใครๆต่างก็อยากได้บริการทางการแพทย์ที่ดีที่สุดให้กับคนที่ตัวเองรักด้วยกันทั้งนั้น

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในอู่ฮั่นอย่างการสร้างโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนถึงสองแห่ง คนอู่ฮั่นหนีออกจากเมือง เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับการรักษาที่ทั่วถึง ถามหน่อยว่าถ้าเจอสถาณการณ์แบบนี้ใครจะอยากอยู่?

ผมเองก็เหมือนกัน ตอนนี้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองเงียบ รอให้พายุลูกใหญ่นี้พัดผ่านไป ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 21 ก็ค่อยๆเพิ่มช้าลง เช่นเดียวกับที่รัฐพยายามทำทุกทางที่จะหยุดเชื้อร้ายนี้ให้ได้ มีการเตือนให้ล้างมือด้วยเจลและใส่หน้ากากป้องกันบนโซเชียลมีเดีย บนรถไฟ ในลอบบี้โรงแรม และทุกหนทุกแห่ง

ตัวผมเองเลือกที่จะอยู่แต่ในโรงแรม ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนอ่านหนังสือ สูบบุหรี่ แล้วก็รอ ผมออกไปข้างนอกแค่วันละหนเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และดื่มสตาร์บั๊ค แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอื่อยเฉื่อยอยู่ข้างนอก ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสแค่หนึ่งในล้านก็ไม่ควรเสี่ยง ถึงแม้จะดูคิดมาก แต่ก็ต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อนแหละ

มีครอบครัวหนึ่งที่ซื้อ VPN เพื่อจะอ่านข่าวจริงจาก BBC โดยเฉพาะ อีกคนยกเลิกไฟลต์บินไปญี่ปุ่นเพราะลูกไม่ยอมใส่หน้ากาก ถึงแม้คนที่ไม่ได้อยู่ในเมืองจะดูสบายดี แต่ในใจทุกคนก็ยังกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมีข่าวออกมาเพิ่มเติม

จนกว่าจะถึงวันนั้น เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากล้างมือและสวดมนตร์

Loading next article...