เชื่อว่ามีหลายคนเคยเดินผ่านคาเฟ่สไตล์น่ารัก ๆ ที่พนักงานด้านในใส่ชุดแม่บ้านเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น ท่าทางแอ๊บแบ๊ว น่ารัก คิขุอาโนเนะ เมื่อมองจากด้านนอกเข้าไปก็อยากรู้ว่าข้างในเค้าทำอะไรกัน แล้วคนพวกนี้ที่จริงเค้าแค่เฟคไปวัน ๆ แล้วก็รอรับเงินหรือเปล่า ร้านนี้พิเศษยังไง ลูกค้าเป็นแบบไหน คือมันเป็นคำถามที่คาใจผมกับพี่ที่ออฟฟิศมานานมาก
ด้วยพลังแห่งความสงสัย อีกไม่กี่วันต่อมาพวกเราจึงพาตัวเองมาอยู่หน้าร้าน Maidreamin ที่มาบุญครอง
ความรู้สึกตอนผมยืนมองเข้าไปจากข้างนอกคือเหมือนว่าตัวเองกำลังจะผ่านเข้าประตูมิติไปยังโลกแฟนตาซีที่เราไม่เคยได้เข้าไป แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในร้านผมรู้สึกว่าโลกภายนอกมันช่างหนาวเหน็บและหงอยเหงาเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับภายในร้าน
0 นาที
แทบจะในทันทีที่เดินเข้าร้าน น้องเมดก็เข้ามาประกบและพาไปเลือกที่นั่งอย่างกระฉับกระเฉงและเป็นกันเอง หลังได้โต๊ะและกำลังปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่อยู่ ผมได้ยินน้องเมดพูดภาษาที่น่าจะเป็นภาษาญี่ปุ่นพร้อมกับทำไม้ทำมือเหมือนกำลังร่ายมนต์อะไรสักอย่างด้วยน้ำเสียงน่ารัก…หา! น้องเมดกำลังสอนพี่ของผมร่ายมนต์!!! ยังไงนะ?! เฮ้ย แปลกจัง ทุกคนในนี้เรียกพวกเราว่านายท่าน นายท่านเนี่ยนะ? ถ้าคุณสงสัยว่าผมรู้สึกแปลกแค่ไหน ก็เอาเป็นว่ารู้สึกแปลกพอ ๆ กับตอนที่รู้ว่าในโลกนี้ยังมีคนเห็นอะโวคาโดกับน้ำมะเขือเทศเป็นอาหารอยู่นั่นแหละ
ความรู้สึกตอนนั้นคืออยู่ดี ๆ คนธรรมดาสามัญทั่วไปที่ใครก็เมินแบบพวกเราก็ดูกลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาซะอย่างงั้น
“เราชอบที่น้องเค้าดูตั้งใจ แล้วเค้าไม่สนใจเลยว่าเราเป็นใครอะ เค้ามองตาได้ทุกคน แม้แต่ตัวเราเองเรายังไม่สามารถมองตาใครได้ทุกคนเลย ซึ่งจิตใจน้องที่มาทำงานตรงนี้ก็น่าจะต้องเข้มแข็งประมาณนึงเลย เพราะว่าต้องเจอคนทุกแบบ ทั้งแย่มากและดีมาก เรามองว่าคนในที่ตรงนี้จะต้องรักงานนี้จริง ๆ ไม่งั้นก็คงทำไม่ได้ อย่างน้องที่มาบริการเราอะ คนนั้นเค้าอยู่มา 3 ปีนะเว้ย คือนานนะ ทุกวันนี้หลายคนยังทำงานในออฟฟิศเดิมเกินหนึ่งปีไม่ได้เลย”
“ในแง่ความรู้สึกคืออารมณ์เหมือนเราเข้าไปในร้านที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมแบบสุดโต่ง เหมือนข้างนอกอยู่ในโลกปกติแล้วพอเราเข้ามาในร้านปั๊บ มันเหมือนกับเมดคาเฟ่มันคืออีกโลกนึง เราก็ค่อนข้างสนุกแล้วก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่มันเป็นไปอยู่แล้วของมันอะ มันทับซ้อนกับโลกพวกเราอยู่ เพียงแต่ว่าเราไม่เคยจะเข้ามาในอะไรแบบนี้อะ เวลาเมดเค้าเข้ามาเสิร์ฟ เข้ามาคุย แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นกันเองมากกว่าที่จะเป็นพนักงานแค่เดินเข้ามาเสิร์ฟ”
10 นาที
พวกเราสั่งอาหารกันอย่างเต็มคราบด้วยเงินออฟฟิศพร้อมกับไลฟ์โชว์…ไลฟ์โชว์? พวกเราสั่งเซ็ตที่แถมไลฟ์โชว์ด้วย โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไลฟ์โชว์คืออะไร ยังไม่ทันตั้งตัวน้องเมดก็พูดเสียงดังเหมือนจะประกาศให้ทุกคนในร้านรู้ว่าพวกเราสั่งชุดไลฟ์โชว์ ก็รู้สึกเขินนะแบบอย่าบอกคนอื่นสิว่าเราเสียเงินเยอะ
อีกไม่นานน้องเมดอีกคนก็ยกน้ำมาเสิร์ฟ แต่! ยังกินไม่ได้ เพราะต้องร่ายมนต์ให้อร่อยขึ้นก่อน ดูเหมือนอะไรก็ตามในนี้ที่กินได้จะต้องผ่านการร่ายคาถาอาคมให้มันอร่อยขึ้นทุกครั้ง ตัวคาถาก็ฟังดูน่ารักคิขุอาโนเนะตามภาพลักษณ์ของร้าน อืม…ช่างขัดกับภาพลักษณ์พวกเราซะเหลือเกิน ผมเดาว่าพี่แกคงเขินอยู่ไม่น้อยที่ต้องเป็นคนร่ายมนต์ ส่วนผมก็ได้แต่กลั้นขำคิกคักอยู่หลังกล้อง แต่ยังดีที่พอจะคุมสติได้ ภาพเลยไม่เบลอเท่าไหร่ เป็นยังไงล่ะ เพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วน ๆ เลย
ให้เด็กอนุบาลมาดูก็คงรู้ ว่าตอนนี้พี่ของผม “พยายาม” ทำตัวให้ดูธรรมชาติที่สุด ทั้ง ๆ ที่สายตาลอกแลก หันซ้ายทีขวาที พยายามสังเกตไปที่โต๊ะอื่นรอบ ๆ เพื่อดูว่าคนอื่นเค้าทำตัวกันแบบไหน ก่อนจะเห็นโต๊ะใกล้ ๆ กำลังร่ายมนต์อย่างสนุกสนานเป็นกันเอง…ผมไม่โทษพี่แกเลยที่ทำตัวไม่ถูก เพราะแม้แต่ผมเองก็ยังทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะถ่ายอะไร ถ่ายยังไงด้วยซ้ำ และอีกอึดใจต่อมาอาหารจานต่อไปก็มาเสิร์ฟ และแน่นอนว่าก็ต้องร่ายมนต์อีกครั้ง เพียงแต่ว่า…
“อาจเพราะยังไม่ค่อยชิน เราเลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพระเอกอนิเมะนะ แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นพวกตัวละครจืดจางแบบตัวที่นักเขียนเค้าวาดเ_ี้ย ๆ ตัวที่เค้าวาดหน้าตาทุเรศ ๆ เพราะว่าต้องรีบวาดให้เสร็จ จะได้รีบไปวาดตัวเอกสวย ๆ แล้วตัวเราคือจะนั่งอยู่ในฉากหลังเบลอ ๆ แล้วนั่งดูว่าแบบ อ๋อ เหตุการณ์เป็นอย่างงี้เหรอเนี่ย”
30 นาที
พรึ่บ! รอบข้างมืดไปชั่วอึดใจก่อนที่จะมีแสงสี ๆ จากหลอดไฟอะไรบางอย่างหมุนอยู่รอบตัว มีเสียงเพลงดังขึ้นมากระทบโสตประสาทพร้อมกับน้องเมด (ที่พี่ของผมเลือก) เดินออกมาที่เวที
เสียงเพลงที่คล้าย ๆ พวกเพลงการ์ตูนน่ารักสดใส เสียงดนตรีสังเคราะห์ในคีย์เมเจอร์กับเสียงคนร้องจริง ๆ ที่ผ่านการปรับแต่งจากซอฟท์แวร์มิกซ์เพลง ฟังแล้วก็รู้สึกสดใสอารมณ์ดีตามไปด้วย และยิ่งภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นพี่ของผมกำลังถือแท่งไฟ แบบเก้ ๆ กัง ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าควรจะถือนิ่ง ๆ หรือโบกไปมาดี แถมยังแอบเหลือบไปมองโต๊ะอื่นเป็น Reference ว่าต้องทำตัวยังไงอีกด้วย มันยิ่งทำให้ผมเผลอหลุดขำออกมาเสียงดัง แต่คงไม่มีใครได้ยินเสียงหัวเราะของผม เพราะว่าเพลงมันดังมาก
1.30 ชั่วโมง (ล่ะมั้ง เพราะเพลินมาก)
เมื่อเวลาผ่านไปโต๊ะอื่นก็เริ่มซื้อไลฟ์โชว์มากขึ้น พร้อม ๆ กับที่พี่ของผมเริ่มคีปลุคน้อยลง รอยยิ้มอย่างเปิดเผยที่ถูกกลั้นมานานก็ปรากฎให้เห็นบนใบหน้า บวกกับเสียงตะโกนเชียร์ของโต๊ะอื่น ๆ ที่ดังลั่นร้าน (ผมมั่นใจว่าดังออกไปถึงข้างนอกร้าน) ยิ่งเร้าให้การดูน้องเมดตัวเล็ก ๆ เต้นกับเพลงด้วยท่าทางน่ารัก ๆ ดูมันและดุเดือดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะไม่ดุเดือดเท่าวงมอชในคอนเสิร์ตฮาร์ดคอร์ก็เถอะ
“เราเคยดูคลิปคนเชียร์ไอดอลแล้วเรารู้สึกว่ารำคาญนะ เพราะเสียงมันดัง มันน่ารำคาญ แต่พอเรามาอยู่ตรงนั้น คือรู้สึกว่าเค้า Energy สูง คือเค้าเชียร์จริงจังและจริงใจอะ ถ้าไม่ได้เชียร์ด้วยความจริงใจคงไม่มีใครมาตะโกนคอแทบแตกแบบนี้ “
2.15 ชั่วโมง
“เทียบกับตอนแรกนะ เราเข้าร้านไปด้วยความสงสัยว่าเค้าเฟคหรือเปล่า และเมื่อเราเข้าไปด้วยความสงสัย ก็จะเหมือนเราเข้าไปด้วยอคติอะไรซักอย่างอะ ว่าน้องเฟคเปล่าวะ? แต่พอเข้าไปมันทำให้เรารู้สึกได้ว่าที่จริงแล้วเค้าชอบที่จะเป็นแบบนี้ แต่นั้นเป็นแค่อีกหนึ่งตัวตน ฉะนั้นอะเราเลยมองว่าจริง ๆ แล้วเค้าไม่ได้เฟคว่ะ นั่นเป็นเพียงแค่อีกหนึ่งบุคลิคที่เค้าชอบ ที่เค้าอยากจะเป็น เพียงแค่ว่าในร้านเค้าสามารถเป็นสิ่งนี้ได้อย่างไม่ต้องเคอะเขิน และมันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกคนที่เข้ามาก็คาดหวังว่าเค้าจะเป็นแบบนี้
ซึ่งพอออกจากร้านมาความรู้สึกก็เป็นไปในแง่บวกนะ เราคิดว่าโลกยังต้องการสิ่งนี้ มันเยียวยาคนบางคนได้”
เสียงเพลงจบลง เสียงปรบมือดังขึ้น พร้อมกับผมที่รู้สึกอิ่มเอมไปกับโลกเวทมนตร์ในคาเฟ่เล็ก ๆ ใจกลางเมือง จะบอกว่าคาเฟ่แห่งนี้ทำให้ชั้นโรงหนังที่มืดทึบของมาบุญครองมีชีวิตชีวาขึ้นมาก็คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเกินไปนัก เพราะทันทีที่เดินออกจากร้าน ผมกลับรู้สึกว่าโลกภายนอกที่ผมอาศัยใช้ชีวิตอยู่ตั้งแต่เกิดมันโหดร้ายเหลือเกิน
2.30 ชั่วโมง
ผมแยกกับพี่ของผมพร้อมกับหยิบหูฟังออกมาอัดเพลงแนว Industrial Metal เข้าไปล้างความสดใสออกจากอารมณ์ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ผมคงจะไม่ชินล่ะมั้ง เพราะโลกแห่งความเป็นจริงที่ผมรู้จักมันไม่ได้สดใสเหมือนโลกแห่งเวทมนตร์ภายในร้าน