“ชอบฝันร้ายว่าแบบเราขึ้นไปแสดงแล้วเราทำพลาด หรือแบบทะเลาะกับเมมเบอร์อะไรอย่างงี้ มันจะชอบฝันร้ายแบบนั้น” ฟอล์ยที่นั่งติดกับเราทางขวาพูดออกมาในขณะที่ทุกคนนั่งล้อมวงอยู่ในห้องซ้อมเพื่อคุยกับเรา
ชีวิตของวง Idol ที่แค่ร้องเพลง แต่งหน้า ทำผม แต่งตัวสวย ๆ ออกไปแสดงบนเวทีมันมีอะไรหลักฉากที่ไม่ได้เห็นและถูกเล่าอีกเยอะ
อาชีพที่โดนใครหลายคนมองว่าก็แค่เต้นกินรำกิน มันก็มีเกียรติ มีความยาก ความเครียด ไม่ต่างจากอาชีพอื่น ๆ นั่นแหละ
การจะให้คนทั้งสิบสองคนเต้นให้พร้อมเพรียงกันดูจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหนึ่งคนในนั้นเป็นเรา
นี่ยังไม่รวมการที่ไม่ได้อยู่ในสื่อกระแสหลัก ไม่ได้มีแรงผลักดันจากรอบข้างเยอะเท่าวงอื่น ๆ ทำให้รูปแบบการทำงานเป็นกึ่ง ๆ แนวทางอินดี้ ยิ่งทำให้สมาชิกวง FEVER และทีมเบื้องหลังต้องทำงานกันหนักกว่าวงอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสหลัก จะอธิบายให้ง่าย ๆ ก็เหมือนเราทำวงในแนวทางแบบอินดี้ที่ต้องสู้กับวงเมนสตรีมนั่นแหละ
เรารู้ว่าวงไอดอลทุกวงต้องซ้อมหนักกันมาก แต่พอเป็น Chika Idol ในอีกแนวทางจะยิ่งต้องทำงงานกันหนักขึ้น มีความเครียดอีกแบกที่ต้องแบกเอาไว้ แต่ที่ยังไงสังคมก็ต้องการวงอย่าง FEVER ก็เพราะแฟนเพลงบางคนชอบในแนวทางแบบนี้มากกว่า
เราก็โตมาในแวดวงดนตรีอันเดอร์กราวด์เหมือนกันทำให้เราเข้าใจว่าทุกวง ทุกแนวต้องซ้อมหนักมากกว่าจะได้โชว์ที่ดีหนึ่งโชว์ แต่เราไม่เคยเข้ามาดูวงไอดอลซ้อมกันเลย จะว่าไปก็หนักกว่าที่คิดเหมือนกันนะ เผลอ ๆ เราว่าซ้อมหนักกว่าวงแนว Death Metal ของเราด้วยซ้ำ เพราะต้องทั้งร้องทั้งเต้นในเวลาเดียวกัน ทำให้ในหัวต้องคิดอยู่ตลอดเวลา เท่าที่เรายืนดูเราเห็นสีหน้า เราเห็นความตั้งใจของน้อง ๆ ผ่านสายตา ที่แม้ทุกคนจะดูสนุกกับการซ้อม แต่เราเชื่อว่าลึก ๆ ในใจ น้อง ๆ ทุกคนมีความเครียดทั้งนั้น
หลายคนอาจจะคิดว่าสบายจัง ได้แต่งหน้าแต่งตัวสวย ๆ มาเต้น ๆ ร้อง ๆ บนเวที แต่หลายคนอาจจะลืมคิดว่ากว่าจะเห็นความพร้อมเพรียงและหนักแน่นอย่างวันนี้ที่เรามานั่งดู น้องต้องผ่านการฝึกซ้อมอะไรมาเยอะแค่ไหน
เอ๊ะ แต่จะว่าไปพอเข้ามาในห้องจริง ๆ ก็หนาวเหมือนกันนะเนี่ย ไม่รู้ว่าเพราะเราเป็นคนขี้หนาวหรือว่าเค้าต้องเปิดแอร์เย็น ๆ เพราะคนที่ซ้อมเต้นกันหนัก ๆ จะร้อนมาก
นี่ยังไม่รวมแรงกดดันและความคาดหวังจากตัวเองแล้วก็คนรอบตัวอีกนะ เราคิดเอาเองว่าน้องน่าจะแบกความเครียดไว้เยอะ ผิดกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มบนเวทีหรือตามงานต่าง ๆ แน่นอน
เพราะถึงบางครั้งเวลามีคนเต้นผิด ทั้งเจ้าตัวและคนในวงก็จะขำกันสนุก แต่เรารู้ว่าข้างในใจมันไม่ได้สนุกอย่างนั้น เชื่อเถอะว่าไม่มีใครอยากทำพลาด แม้จะเป็นแค่ตอนซ้อมก็ตาม
อย่างตัวแปม แปมจะมีปัญหากับแรงกดดันของตัวเองมากกว่าแรงกดดันจากคนนอก เพราะมักจะชอบคิดว่าต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ดี จนสุดท้ายเกินกำลังแรงที่ตัวเองมี สุดท้ายไม่เป็นอย่างที่ตัวเองหวังก็จะรู้สึกเสียใจ
วันที่แย่ที่สุดคือวันที่มองไม่เห็นค่าของตัวเองเลยสักนิดเดียว หายไปก็ได้ คงไม่กระทบกับใคร ซึ่งวันนั้นจะผ่านไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีครอบครัวคอยอยู่ข้าง ๆ” สแปมที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวง (คนที่สองจากทางขวาในภาย) บอกเรา
ซึ่งอย่างที่ทุกคนเข้าใจ งานของวง FEVER มันคืองานหลัก มันเหมือนทำงานประจำที่ต้องเข้าออฟฟิศนั่นแหละ อย่างในจุดของการทำวง ทุกคนต้องทำงานกันเป็นทีม ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะเป็นตัวถ่วงของทีมอย่างแน่นอน และเมื่อไหร่ที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นตัวถ่วงของทีม ความเครียดและความกดดันจึงตามมา
เราไม่รู้ว่าสแปมเป็นอะไรบนเวที ไม่รู้ว่าเหนื่อย หายใจไม่ทัน หรือว่าร้องไห้เพราะตื้นตัน เพราะเราก็เพิ่งมาเห็นว่าน้องเป็นอะไรซักอย่างตอนนั่งดูภาพเหมือนกัน เราเชื่อว่าแฟนเพลงที่ยืนอยู่แถวหน้า ๆ กับใบเฟิร์น (คนขวาสุด) น่าจะสังเกตเห็น
“ไหน ๆ ใครร้องไห้บ่อยที่สุด?” เราถามไปเล่น ๆ
ทุกคนในวงสนทนาหันขวับไปทางใบเฟิร์น (คนเสื้อม่วงในภาพ) บางคนก็ชี้มือไปทางนั้น เหมือนจะบอกว่าคนนี้ค่ะ
“ไม่ได้ร้องไห้ค่ะ แต่จะโดนดุบ่อย” ใบเฟิร์นตอบเราด้วยน้ำเสียงกึ่งอาย ๆ
“ใครดุอะครับ?” เรายิ่งสงสัย
“ทุกคน” ใบเฟิร์นตอบและหัวเราะอย่างกันเอง
“หนักสุดก็น่าจะเป็นหนู” ซูที่นั่งอยู่ทางขวาของเราพูดขึ้นมา ใบเฟิร์นหัวเราะชอบใจกับเพื่อนตัวเอง ดูเหมือนใบเฟิร์นจะไม่ได้ถูกดุจนโกรธหรือท้ออะไร
“อาจารย์ซูค่ะ เพราะว่าหนูไม่มีพื้นฐานเต้น แล้วก็หัวช้านิดนึงเวลาเต้น Feeling เป็นเพลงที่ยาก แต่หนูคิดว่า Start Again หนักสุด เพราะเป็นเพลงแรก แล้วหนูเป็นคนไม่มีทักษาะเรื่องนี้ ก็จะคล้าย ๆ ฟอล์ยคือแบบเป็นคนจำช้า” ใบเฟิร์นอธิบายอย่างคร่าว ๆ
“เคยเต้นมาก่อนเปล่านะ?”
“ไม่เคย ไม่เคยเต้นเลย ชอบดูอย่างเดียวแต่ไม่เคยลอง”
“คิดว่าตอนนี้เก่งขึ้นมากมั้ย?”
“เก่งขึ้นมากค่ะ เก่งขึ้นมาก เก่งขึ้นมากจริง ๆ” ปายที่นั่งอยู่เยื้องไปทางซ้ายของเราพูดขึ้นมาหลังจากเป็นผู้ฟังอยู่นาน
“ฮืออออออ ไม่รู้ ก็…อาจจะดีกว่าตอนแรกหรือเปล่า หนูก็ไม่รู้ จริงเหรอ?” ใบเฟิร์นพูดออกมาเสียงอ่อย ๆ อย่างไม่มั่นใจ
“เมื่อก่อนอะสามวันพี่ใบเฟิร์นถึงทำได้ แต่ตอนนี้ทำได้ในวันเดียวแล้ว บางท่าอะ เก่งขึ้นเยอะ” ใบบัวเสริมขึ้นมา
“เร็ว” บีมที่นั่งอยู่ติดกับใบเฟิร์นเสริมขึ้นมาสั้น ๆ อย่างเห็นด้วย
“ใช่ เร็วขึ้นเยอะเลย เมื่อก่อนช้ากว่านี้” ใบบัวพูดต่อ
“ไม่ค่อยมั่นใจ เป็นคนแบบไม่ค่อยมั่นใจ” ใบเฟิร์นเริ่มจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จากมุมคนที่เพิ่งจะเคยเข้ามาดูเบื้องหลัง เราตกใจกับเเรงกดดันที่น้องเจอมาก คือคิดดูว่าแค่ถามไม่กี่คำน้องก็ร้องไห้ออกมาแล้ว เหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่อัดอั้นมานาน เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของไอดอลที่ดูสวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบจะต้องเจอแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้
“มีตอนไหนที่เครียดที่สุด เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?” เราเสี่ยงถามดูเพราะอยากรู้ เพราะจริง ๆ เราก็ไม่ได้อยากเห็นน้องร้องไห้เลย
ใบเฟิร์นเริ่มสะอื้นออกมา พึมพำกับตัวเองเบา ๆ จับใจความได้ว่า ‘เราเครียดอะ’
จนถึงตอนนี้ทุกคนภายในห้องก็ตกใจปนกังวล ทุกสายตาจับจ้องมาที่ใบเฟิร์นด้วยความเป็นห่วง
“โอ๋ ๆ ๆ ๆ” ใบบัวพยายามปลอบเมมเบอร์รุ่นพี่
“ตอนนี้ซ้อมเพลงใหม่กันอยู่ค่ะ” ใบหม่อนหันมาพูดกับเรา
ใบเฟิร์นยังสะอื้นอยู่ เราเห็นน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาก่อนที่ใบเฟิร์นจะปาดออกแล้วพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า
“มันก็…เครียดตลอดแหละ อือ………” เสียงสะอื้นดังขึ้นมาอีกครั้ง
“กังวลเฉย ๆ หนูขี้กังวล แบบหนูจำช้าอะไรแบบนี้อะค่ะ หนูก็เครียดทุกเพลง แต่ว่าเพลงที่มันยากก็จะเครียดนิดนึง ถ้าเป็นเพลงแบบ Stop ก็จะเครียดน้อยสุด” ใบเฟิร์นพูดกับเราด้วยน้ำเสียงที่ฟังรู้เรื่องมากขึ้น
“อะกินหนมก่อน” เราพูดพร้อมยื่นเยลลี่ที่ซื้อมาฝากให้น้อง
ใบเฟิร์นเริ่มหัวเราะขึ้นมาได้เบา ๆ ก่อนจะรับเยลลี่ไป ไม่ยักจะรู้ว่าเรื่องเล็กน้อยแบบแค่ได้กินเยลลี่มันทำให้น้องมีกำลังใจและมีความหมายกับน้องได้ขนาดนี้ ที่ผ่านมาเราคิดว่าไอดอลทุกคนจะถือตัวกว่านี้ซะอีก ตอนเข้ามาสัมภาษณ์ในทีแรกก็แอบกลัวเหมือนกันว่าน้องจะไม่อยากคุยกับเรา
ตอนนี้ทุกคนพยายามพูดปลอบและให้กำลังใจกันจ้าละหวั่น ซึ่งทำให้เราเห็นทีมเวิร์กในวงมาก
หลังจากนั้นใบเฟิร์นก็เล่าว่าที่จริงตัวเองถนัดร้องเพลงมากกว่า แต่พอมาอยู่จุดนี้เลยต้องเต้นด้วย ซึ่งไม่ถนัดเลย การที่เราต้องแบกความคาดหวังของตัวเองและคนอื่นเอาไว้มันคงจะหนักจริง ๆ การที่ต้องจำลำดับท่าเต้นเป็นร้อย ๆ ท่า และเต้นออกมาต่อหน้าคนเป็นร้อยเป็นพันคนก็คงจะหนักไม่ต่างจากการที่เราต้องเข้าประชุมวางแผนปีหน้าสำหรับออฟฟิศเหมือนกันล่ะนะ
“บางที่เห็นเมมเบอร์ (สมาชิกในวง) คนอื่นเขาหยอกล้อหรือคุยกับแฟนคลับเหมือนสนิทกันมาก ๆ แล้วกลับมามองตัวเองก็รู้สึกเฟลเหมือนกัน กลัวว่าแฟนคลับจะน้อยใจหรือเปล่าที่เราทำให้เขาเหมือนเมมเบอร์คนอื่น ๆ ไม่ได้ ตอนแรก ๆ คิดว่าตัวเองจะพัฒนาได้ สักวันอาจจะทำได้เหมือนคนอื่น ๆ แต่พอมันผ่านมา 2 ปีแล้ว เราก็พัฒนาขึ้น แต่มันก็ถึงจุด ๆ นึงที่เราต้องยอมรับว่า นี่มันก็คือตัวตนของเรา เราไม่มีทางเป็นเหมือนคนอื่นได้หรอก มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ใช่ไทป์ไอดอลเลย เมื่อก่อนเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นไอดอลและตอนนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าเราไม่เหมาะกับการเป็นไอดอลจริง ๆ”
“เคยอยากเลิกมั้ย?” เราถามป๊อปพร้อมกับยื่นมือถือที่กำลังอัดเสียงบทสัมภาษณ์เข้าไปจ่อปากของป๊อป เพราะป๊อปพูดเบามาก กลัวว่าจะเอามาฟังไม่รู้เรื่อง
“เคย…หลายรอบ” ป๊อปสะอึกไปนิดนึงก่อนจะตอบเบา ๆ
“คือหนูก็ยังคิดอยู่เสมอนะว่าหนูไม่เหมาะกับสายไอดอลเท่าไหร่ คิดมาตั้งแต่แรก แต่ก็คิดว่าลองดู ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ”
แล้วคิดว่าตัวเองเหมาะกับอะไร? เราถามต่อ
“อืม…คิดว่าตัวเองเหมาะอยู่เบื้องหลังมั้ง แต่แฟนคลับหลาย ๆ คนก็ทำให้เราฮึดขึ้นมาค่ะ ก็ยังคงชอบการขึ้นเวทีการร้องเต้นเพอร์ฟอร์มอยู่ และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไปค่ะ”
จริง ๆ พอเราได้ฟังเรารู้สึกได้ทันทีว่าป๊อปคงยังไม่ได้อยากเลิกจริง ๆ หรอก เรารู้สึกว่าป๊อปแค่ยังไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ในด้านการเข้าหาแฟนเพลง แต่ก็นะ…ไม่มีใครเก่งไปซะทุกอย่างหรอก
แต่เพราะสำหรับวงดนตรี การที่มีแฟนเพลงก็เหมือนกับเราขายของแล้วมีลูกค้านั่นแหละ การที่เราสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเอาไว้ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ
“คิดว่ามาทำแบบนี้ทำให้เราเสียชีวิตช่วงวัยรุ่นไปมั้ย?” เราถาม
“เสียชีวิต?” บีมบีมที่นั่งอยู่เยื้องไปทางขวาเราพูดตัดขึ้นมาเพราะเราพูดไม่เคลียร์
ทุกคนภายในห้องหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“เสียช่วงชีวิต ๆ พูดผิด ๆ” เรากลั้นขำและถามต่อ
“เรื่องนี้ต้องใบหม่อนปะ เพราะใบหม่อนอยู่ในช่วงนั้นพอดี” บีมพูดขึ้นมา เราเลยได้หันไปคุยกับใบหม่อน
“จริง ๆ ต้องอยู่ม.อะไรเเล้วเนี่ย?”
“จริง ๆ ต้องอยู่ม.หกค่ะ แต่ว่าหนูออกมาสอบเทียบ ตอนนี้อยู่ปีหนึ่งค่ะ คือเหมือนคนรอบตัวจะเสียดายแทนค่ะ เค้าบอกว่าชีวิตช่วงวัยรุ่นอะ ม.ปลายคือดีสุดแล้ว แบบไม่ได้สัมผัสชีวิตม.ปลาย” ใบหม่อนตอบพร้อมกับดัดเสียงเป็นเสียงล้อเลียนคนที่เคยพูดด้วยในประโยคหลัง ๆ
ทุกคนในห้องหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศในห้องกลับมาสดใสขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ตอนนี้เราชำเลืองมองใบเฟิร์นก็เห็นว่ากลับมาสดใสเหมือนเดิมแล้ว
“คนที่พูดคือใคร น้องม.ต้นเหรอ?” เราต่อมุกใบหม่อนเพื่อที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้นไปอีก
ทุกคนในห้องยังคงหัวเราะอยู่
“ก็แม่ แล้วก็เพื่อนที่ม. เค้าชอบมาคะยั้นคะยอถามว่าทำไมไม่เรียนม.ปลาย ไม่เสียดายชีวิตช่วงนั้นเหรอ แบบนู่นนี่นั่น ๆ หนูก็จะ…ไม่…บางที…คือมันก็นิดนึง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเสียดายขนาดนั้นเพราะหนูรู้สึกว่ามาตรงนี้หนูก็แฮปปี้ดี คิดว่าเลือกได้โอเคแล้ว” ใบหม่อนตอบเราด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เราคิดว่าน้องคงชัดเจนในเส้นทางที่เลือกแล้วแน่นอน
“แล้วพอจบโชว์แรกแล้วรู้สึกยังไง” เราถาม
ใบบัวพูดขึ้นมาหลังจากเงียบอยู่นาน น้องบอกเราว่าลายคนในวงก็ร้องไห้กันหมด เพราะเหนือความคาดหมายแล้วก่อนหน้านี้ก็ซ้อมหนักกันมาก ๆ
“ไม่…คือเค้าให้พูดความรู้สึกใช่มั้ยคะว่าแต่ละคนรู้สึกยังไง” บอสเสริมขึ้นมาให้เราฟัง
“ชอบจังเลยเนอะ เมาท์คนอื่น ค่ะ…ตอนนั้นแย่อยู่” บีมบีมที่วันนี้เหมือนจะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูดก็พูดแทรกมา เหมือนกับรู้ว่าทุกคนหมายถึงใคร ตอนนี้ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทุกคน
“ไม่ ก็เหมือนเราได้กลับมาทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเราจะไม่มีโอกาสแล้ว แล้วตอนนั้นมันก็มีคนมา…” บีมบีมอธิบายความรู้สึกถึงสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้ ทุกคนในวงหันไปมองเป็นตาเดียว
“เดี๋ยวเหอะ ๆ ๆ” บีมบีมทำเสียงเข้มพูดแก้เขิน ก่อนทุกคนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เหมือนมีคนมาเชียร์เยอะ แล้วตอนนั้นเหมือนเราได้กำลังใจเกินร้อย พอคนมาเชียร์เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย…มันมาถึงจุดที่มี…มันก็เวทีแรกอะ เราก็ตื่นเต้นอะ เหมือนตื่นตา เราก็เออว่ะ….หรือเราอาจจะดังก็ได้ เราก็คิดอย่างงี้” บีมบีมบอกเราด้วยน้ำเสียงทะเล้นทีเล่นทีจริง แต่เราว่าตอนนี้ฟีเวอร์ก็ดังแล้วนะ
“คือร้องไห้เพราะรู้สึกตื้นตันใจ?”
“ใช่ แต่จริง ๆ ที่ร้องไห้อะเพราะบีมอะ…เจอเพื่อน คือไม่คิดว่าเค้าจะมา คือเราเซนส์สิทีฟกับคนรู้จักอะ เหมือนเรารู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมเค้ามาด้วย? คือเค้าไม่ได้บอกว่าจะมา คือกะมาเซอร์ไพรส์ พอเห็นปุ๊บน้ำตาก็เลยคลอเบ้า” บีมบีมขยายความ
“พี่บีมเค้าเป็นคนที่ขี้แงที่สุดในวง” ฟอล์ยที่นั่งอยู่ขวาสุดข้างเราพูดขึ้นมา
“ใช่” บีมบีมยืนยัน ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะออกมาลั่นห้องจนบีมบีมต้องพูดแก้เขินเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบว่า อะไร!!
และแน่นอนว่าหลังจากนั้นมีแม่บ้านจะเข้าไปทำความสะอาดพอดี แต่น้องคงไม่รู้
ต่อให้ไม่ได้รับความสะดวกเท่าไหร่ ไม่ได้มีห้องพักศิลปิน (Green room) ที่แบ่งเป็นกิจจะลักษณะ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ได้รับความเป็นส่วนตัว แต่ทุกคนก็ยอม เพื่อความฝันของตัวเองล่ะนะ
“ด้วยความที่เพลงแรกมันเป็นเพลงเปิดตัวด้วย คนจะต้องเห็นโชว์เราจากเพลงแรกทุกคนก็เลยมีความคาดหวัง แล้วเราก็แบบเออต้องทำให้ดีอะไรแบบนี้ ก็อาจจะมีความเครียดที่ว่าแบบบางคนยังเต้นไม่ได้ บางคนเต้นได้แล้ว อาจจะมีความแบบ เฮ้ยทำไมเราเต้นไม่ได้ซักที” บอสที่นั่งอยู่ตรงหน้าเราเป๊ะ ๆ เล่าให้ฟัง
ซึ่งไม่แปลกที่เมื่ออะไรก็ตามที่เราเคยทำเป็นงานอดิเรกกลายมาเป็นงานหลัก มันมักจะพ่วงมาด้วยความเครียดเสมอ อย่าว่าแต่น้องเลย วันที่เราต้องออกไปถ่ายภาพ (รวมถึงงานนี้ด้วย) เราก็เครียดเหมือนกัน การที่น้องกลัวการเต้นผิดมันก็คงเหมือนการที่เรากลัวทำงานอะไรซักอย่างของเราผิดนั่นแหละ แต่ต่างกันที่มันเป็นความผิดที่ผิดแล้วผิดเลย ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปเต้นใหม่ได้
“ชอบฝันร้ายว่าแบบเราขึ้นไปแสดงแล้วเราทำพลาด หรือแบบทะเลาะกับเมมเบอร์อะไรอย่างงี้ มันจะชอบฝันร้ายแบบนั้น” ฟอล์ยที่นั่งติดกับเราทางขวาพูดออกมา ความเครียดคงอยู่ในจิตใต้สำนึกจนเก็บไปฝันนั่นแหละ
“คือมันเหมือนหัวเราช้าแล้วเราจะเข้าใจยากกว่าคนอื่นอะไรอย่างงี้ มันเหมือนแบบจำช้ามากกว่า”
ฟอล์ยพูดออกมาเสียงเบาลง เสียงและแววตาของน้องดูไม่มั่นใจเลย ทั้ง ๆ ที่ตอนเรายืนดูน้อง ๆ เต้นก่อนเข้าห้องมาสัมภาษณ์ก็ดูทุกคนจะทำได้ดี แต่กว่าจะทำได้ดีขนาดนี้คงเสียเหงื่อเสียน้ำตามาเยอะ
“ก็ถามคนที่เต้นเก่ง ๆ ว่าเค้าทำยังไง ก็ถามไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะดีขึ้น แล้วพยายามจำความรู้สึกที่ทำได้เอาไว้ เวลาที่ทำถูกมันจะมีความรู้สึกอีกแบบ”
“หนูร้องไห้ทุกเพลงอะ ช่วงใกล้ ๆ ที่จะแสดงแล้วเค้าจะให้สอบแล้วมันเหลือเราแค่คนเดียวอะที่ยังสอบไม่ผ่าน ก็จะกดดันมาก กลัวทำให้ทั้งวงเละเพราะเราอะไรแบบนี้” ฟอล์ยเล่าให้เราฟังเหมือนว่าอัดอั้น
หลังสัมภาษณ์เราได้ตามไปห้องพักศิลปิน หลังเวที และหน้าเวที ภาพนี้เราถ่ายจากห้องพักศิลปิน เราเห็นฟอล์ยแต่งตัว แต่งหน้าเสร็จคนแรก ภาพที่เราเห็นคือในระหว่างที่ทุกคนกำลังแต่งหน้าอยู่ฟอล์ยก็ทวนท่าเต้นอยู่ด้านหลัง เพราะดูเหมือนว่าอยู่ดี ๆ ก็เกิดลืมท่าเต้นขึ้นมากระทันหัน หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ พอป๊อปแต่งหน้าเสร็จป๊อปเลยมาชวนทวนท่าเต้นให้
“ก็อยากจะช่วยเค้าค่ะ ก็ช่วยอยู่เรื่อย ๆ หนูกับพี่ซูก็จะมีหน้าที่เป็นอาจารย์” ป๊อปพูดเบา ๆ เรายื่นมือถือไปจ่ออีกครั้ง
“เป็นอาจารย์สอนคนที่แบบยังทำท่านั้นท่านี้ไม่ได้อะค่ะ” ซูพูดเสริม
“สอนนานมั้ย คนนี้อะ” เราถามและชี้ไปทางฟอล์ย
ซูกับป๊อปบอกว่าใครยังไม่เป็นก็สอนไปเรื่อย ๆ ก่อนทุกคนในวงสนทนาจะหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน และดูเหมือนทั้งสองคนก็จะเต็มใจสอน ไม่ได้อิดออดอะไร
ถึงแม้ว่าฟอล์ยจะตั้งใจซ้อมจนแสดงได้ดี เราก็รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกฟอล์ยมาก ๆ เพราะบางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของคนในออฟฟิศเหมือนกัน
“ตอนนี้นี้นี่ตื่นเต้นที่สุดของวันแล้วหรือยัง?” เราถาม
“ที่สุดแล้วค่ะ” ใบบัวตอบสั้น ๆ
“ปกติเวลาทำสมาธินี่ทำยังไงอะ” มนุษย์ขี้สงสัยแบบเราถามต่อ จังหวะนั้นเราต้องเอามือป้องปาก พูดกึ่งตะโกนคุยกัน เพราะว่าเสียงดังมาก
“บูมค่ะ เวลาบูมแล้วมันเเบบเหมือนได้กรี๊ดอะ เหมือนได้มา ว้ากกกกก แบบมาเล้ยยย ต้องทำได้ มันรู้สึกโล่งค่ะเวลาได้บูมกับเพื่อน ๆ มีผลเยอะมาก บางวันไม่ได้บูมคือก็จะหงอยไปเลย เหมือนพอเราบูมแล้วเราได้ตะโกนอะ เหมือนเราได้ปล่อย ปล่อยให้มันเป็นแบบเวที ๆ นี้เลย แบบไม่ใช่…เหมือนมันมีพลังอะเวลาเราได้บูม”
ใบบัวตอบเราก่อนจะไปรวมกับกลุ่มเพื่อน ๆ เพื่อบูม
จนถึงตอนนี้ผู้ชมเดินเข้ามาสมทบเรื่อย ๆ จนแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เราไม่หงุดหงิดเลยที่เราทำงานลำบากเพราะต้องแทรกตัวไปในฝูงชน ต้องยืนเบียด หรือหามุมไม่ได้เพราะคนแน่นขึ้นกว่าตอนกลางวันเยอะ เพราะนั่นแสดงถึงการประสบความสำเร็จของวงหนึ่งวง ตอนนี้ความพยายามของวง FEVER ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกำลังผลิดอกออกผลให้เห็นแล้ว
เราเห็นความกล้าแลก ความทุ่มสุดตัว การทำทุกอย่างเพื่อความฝัน ความซื่อสัตย์กับแฟนเพลงผ่านเหตุการณ์นี้ ทันทีที่เรากดชัตเตอร์ถ่ายเหตุการณ์นี้ เรารู้ได้เลยว่าน้องไม่ต่างอะไรกับคนหลายคนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อความฝัน เพียงแต่ความฝันของน้องคือการเป็นวงไอดอล
ในภาพคือพี่ AR พาบอสขี่หลังเพื่อเข้าไปปฐมพยาบาลในล็อบบี้โรงแรม ก่อนจะพาขึ้นไปที่ห้องประชุมที่ถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักศิลปิน
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อรอยยิ้มบนเวทีจบลง วันพรุ่งนี้ของสมาชิกวงแต่ละคนจะเหนื่อยยากขนาดไหน เห็นได้ข่าวว่าท่าเต้นเพลงใหม่ที่กำลังจะปล่อยในวันที่ 11 ธันวานี้ยากซะด้วย แต่พอบทความนี้ออกไป ทุกคนคงจะได้ฟังเพลงใหม่ของ FEVER แล้วแหละนะ
เอาเป็นว่าเราเข้าใจว่าสิ่งที่แย่ที่สุดของการเป็นความหวัง คือการที่ทำให้คนที่คาดหวังในตัวเราผิดหวัง แน่นอนว่าน้อง ๆ ยังคงซ้อมกันอย่างหนักต่อไปเพื่อทำให้แฟน ๆ และตัวเองสมหวังและพอใจกับผลงาน
พอโชว์จบลงเราขึ้นไปส่งน้อง ๆ ที่ห้องพักศิลปินก่อนจะร่ำลาทุกคนและกลับบ้าน ถึงจะไม่ใช่แฟนเพลงแนว Synth Pop แต่แน่นอนว่าระหว่างทางเราฮัมเพลงของ FEVER ตลอดเวลา…ก็เพลงมันเพราะและติดหูนี่นา