Burst of…FEVER
“ทุกคนดูจะซ้อมกันหนัก มันทำให้เครียดแค่ไหนเหรอ?” เราถาม

“ชอบฝันร้ายว่าแบบเราขึ้นไปแสดงแล้วเราทำพลาด หรือแบบทะเลาะกับเมมเบอร์อะไรอย่างงี้ มันจะชอบฝันร้ายแบบนั้น” ฟอล์ยที่นั่งติดกับเราทางขวาพูดออกมาในขณะที่ทุกคนนั่งล้อมวงอยู่ในห้องซ้อมเพื่อคุยกับเรา

ชีวิตของวง Idol ที่แค่ร้องเพลง แต่งหน้า ทำผม แต่งตัวสวย ๆ ออกไปแสดงบนเวทีมันมีอะไรหลักฉากที่ไม่ได้เห็นและถูกเล่าอีกเยอะ

อาชีพที่โดนใครหลายคนมองว่าก็แค่เต้นกินรำกิน มันก็มีเกียรติ มีความยาก ความเครียด ไม่ต่างจากอาชีพอื่น ๆ นั่นแหละ

จริง ๆ แล้วชีวิต Chika Idol (ไอดอลที่ไม่ได้เน้นโปรโมตในสื่อหลัก) ที่ฉากหน้าดูสวยงาม เบื้องหลังต้องแบกความคาดหวังเอาไว้หนักขนาดไหนกัน ในฐานะที่เราเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงไอดอล (ไม่รู้รอดมาได้ยังไง) ก็ชักจะอยากรู้ขึ้นมาตะหงิด ๆ เพราะแค่ให้เราออกไปเต้นแอปเปิล มะละกอ กล้วย ส้ม ในคาบลูกเสือ เรายังรู้สึกว่ามันยากเลย

การจะให้คนทั้งสิบสองคนเต้นให้พร้อมเพรียงกันดูจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหนึ่งคนในนั้นเป็นเรา

นี่ยังไม่รวมการที่ไม่ได้อยู่ในสื่อกระแสหลัก ไม่ได้มีแรงผลักดันจากรอบข้างเยอะเท่าวงอื่น ๆ ทำให้รูปแบบการทำงานเป็นกึ่ง ๆ แนวทางอินดี้ ยิ่งทำให้สมาชิกวง FEVER และทีมเบื้องหลังต้องทำงานกันหนักกว่าวงอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสหลัก จะอธิบายให้ง่าย ๆ ก็เหมือนเราทำวงในแนวทางแบบอินดี้ที่ต้องสู้กับวงเมนสตรีมนั่นแหละ

เรายืนดูน้อง ๆ วง FEVER ซ้อมอยู่หน้าห้องซ้อมพักนึงก่อนจะเข้ามานั่งล้อมวงพูดคุยกันในอิริยาบทสบาย ๆ ทุกคนแนะนำตัว เรากดมือถืออัดเสียงบทสัมภาษณ์ และแจกจ่ายขนมที่ซื้อติดไม้ติดมือมาฝาก

เรารู้ว่าวงไอดอลทุกวงต้องซ้อมหนักกันมาก แต่พอเป็น Chika Idol ในอีกแนวทางจะยิ่งต้องทำงงานกันหนักขึ้น มีความเครียดอีกแบกที่ต้องแบกเอาไว้ แต่ที่ยังไงสังคมก็ต้องการวงอย่าง FEVER ก็เพราะแฟนเพลงบางคนชอบในแนวทางแบบนี้มากกว่า

เราก็โตมาในแวดวงดนตรีอันเดอร์กราวด์เหมือนกันทำให้เราเข้าใจว่าทุกวง ทุกแนวต้องซ้อมหนักมากกว่าจะได้โชว์ที่ดีหนึ่งโชว์ แต่เราไม่เคยเข้ามาดูวงไอดอลซ้อมกันเลย จะว่าไปก็หนักกว่าที่คิดเหมือนกันนะ เผลอ ๆ เราว่าซ้อมหนักกว่าวงแนว Death Metal ของเราด้วยซ้ำ เพราะต้องทั้งร้องทั้งเต้นในเวลาเดียวกัน ทำให้ในหัวต้องคิดอยู่ตลอดเวลา เท่าที่เรายืนดูเราเห็นสีหน้า เราเห็นความตั้งใจของน้อง ๆ ผ่านสายตา ที่แม้ทุกคนจะดูสนุกกับการซ้อม แต่เราเชื่อว่าลึก ๆ ในใจ น้อง ๆ ทุกคนมีความเครียดทั้งนั้น

หลายคนอาจจะคิดว่าสบายจัง ได้แต่งหน้าแต่งตัวสวย ๆ มาเต้น ๆ ร้อง ๆ บนเวที แต่หลายคนอาจจะลืมคิดว่ากว่าจะเห็นความพร้อมเพรียงและหนักแน่นอย่างวันนี้ที่เรามานั่งดู น้องต้องผ่านการฝึกซ้อมอะไรมาเยอะแค่ไหน

เอ๊ะ แต่จะว่าไปพอเข้ามาในห้องจริง ๆ ก็หนาวเหมือนกันนะเนี่ย ไม่รู้ว่าเพราะเราเป็นคนขี้หนาวหรือว่าเค้าต้องเปิดแอร์เย็น ๆ เพราะคนที่ซ้อมเต้นกันหนัก ๆ จะร้อนมาก 

แค่เห็นน้อง ๆ ซ้อมเต้นกันเพลงละหลาย ๆ รอบ ก็รู้สึกเหนื่อยแทนแล้ว เราคิดว่ากว่าจะเพอร์เฟกต์พร้อมโชว์ น้องคงจะเสียเหงื่อกันไปคนละหลายลิตร

นี่ยังไม่รวมแรงกดดันและความคาดหวังจากตัวเองแล้วก็คนรอบตัวอีกนะ เราคิดเอาเองว่าน้องน่าจะแบกความเครียดไว้เยอะ ผิดกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มบนเวทีหรือตามงานต่าง ๆ แน่นอน

เพราะถึงบางครั้งเวลามีคนเต้นผิด ทั้งเจ้าตัวและคนในวงก็จะขำกันสนุก แต่เรารู้ว่าข้างในใจมันไม่ได้สนุกอย่างนั้น เชื่อเถอะว่าไม่มีใครอยากทำพลาด แม้จะเป็นแค่ตอนซ้อมก็ตาม 

“แรงกดดันจากคนอื่นเป็นอะไรที่เราไม่สามารถไปทำอะไรกับมันได้ เราทำได้แต่สู้กลับให้เต็มที่ในแบบของเรา ฟังดูเหมือนกดดันตัวเองมันรับมือได้มากกว่าความกดดันคนอื่น แต่จริงๆ ไม่เลย

อย่างตัวแปม แปมจะมีปัญหากับแรงกดดันของตัวเองมากกว่าแรงกดดันจากคนนอก เพราะมักจะชอบคิดว่าต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ดี จนสุดท้ายเกินกำลังแรงที่ตัวเองมี สุดท้ายไม่เป็นอย่างที่ตัวเองหวังก็จะรู้สึกเสียใจ

วันที่แย่ที่สุดคือวันที่มองไม่เห็นค่าของตัวเองเลยสักนิดเดียว หายไปก็ได้ คงไม่กระทบกับใคร ซึ่งวันนั้นจะผ่านไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีครอบครัวคอยอยู่ข้าง ๆ” สแปมที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวง (คนที่สองจากทางขวาในภาย) บอกเรา

ซึ่งอย่างที่ทุกคนเข้าใจ งานของวง FEVER มันคืองานหลัก มันเหมือนทำงานประจำที่ต้องเข้าออฟฟิศนั่นแหละ อย่างในจุดของการทำวง ทุกคนต้องทำงานกันเป็นทีม ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะเป็นตัวถ่วงของทีมอย่างแน่นอน และเมื่อไหร่ที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นตัวถ่วงของทีม ความเครียดและความกดดันจึงตามมา

เราไม่รู้ว่าสแปมเป็นอะไรบนเวที ไม่รู้ว่าเหนื่อย หายใจไม่ทัน หรือว่าร้องไห้เพราะตื้นตัน เพราะเราก็เพิ่งมาเห็นว่าน้องเป็นอะไรซักอย่างตอนนั่งดูภาพเหมือนกัน เราเชื่อว่าแฟนเพลงที่ยืนอยู่แถวหน้า ๆ กับใบเฟิร์น (คนขวาสุด) น่าจะสังเกตเห็น 

หลังจากเริ่มวงสนทนาในสตูดิโอซ้อมเต้นได้ไม่นาน วงที่พวกเรานั่งล้อมคุยกันก็ใหญ่ขึ้นเพราะ ใบบัว ใบเฟิร์น กับบีม ที่เป็นเมมเบอร์ในวงตามมาสมทบทีหลัง เรารู้ว่าไม่มีใครถนัดไปซะทุกอย่าง เลยอยากรู้ว่าเคยมีใครเต้นไม่ได้จนร้องไห้มั้ยนะ?

“ไหน ๆ ใครร้องไห้บ่อยที่สุด?” เราถามไปเล่น ๆ

ทุกคนในวงสนทนาหันขวับไปทางใบเฟิร์น (คนเสื้อม่วงในภาพ) บางคนก็ชี้มือไปทางนั้น เหมือนจะบอกว่าคนนี้ค่ะ

“ไม่ได้ร้องไห้ค่ะ แต่จะโดนดุบ่อย” ใบเฟิร์นตอบเราด้วยน้ำเสียงกึ่งอาย ๆ

“ใครดุอะครับ?” เรายิ่งสงสัย

“ทุกคน” ใบเฟิร์นตอบและหัวเราะอย่างกันเอง

“หนักสุดก็น่าจะเป็นหนู” ซูที่นั่งอยู่ทางขวาของเราพูดขึ้นมา ใบเฟิร์นหัวเราะชอบใจกับเพื่อนตัวเอง ดูเหมือนใบเฟิร์นจะไม่ได้ถูกดุจนโกรธหรือท้ออะไร

“อาจารย์ซูค่ะ เพราะว่าหนูไม่มีพื้นฐานเต้น แล้วก็หัวช้านิดนึงเวลาเต้น Feeling เป็นเพลงที่ยาก แต่หนูคิดว่า Start Again หนักสุด เพราะเป็นเพลงแรก แล้วหนูเป็นคนไม่มีทักษาะเรื่องนี้ ก็จะคล้าย ๆ ฟอล์ยคือแบบเป็นคนจำช้า” ใบเฟิร์นอธิบายอย่างคร่าว ๆ

“เคยเต้นมาก่อนเปล่านะ?”

“ไม่เคย ไม่เคยเต้นเลย ชอบดูอย่างเดียวแต่ไม่เคยลอง”

“คิดว่าตอนนี้เก่งขึ้นมากมั้ย?”

“เก่งขึ้นมากค่ะ เก่งขึ้นมาก เก่งขึ้นมากจริง ๆ” ปายที่นั่งอยู่เยื้องไปทางซ้ายของเราพูดขึ้นมาหลังจากเป็นผู้ฟังอยู่นาน

“ฮืออออออ ไม่รู้ ก็…อาจจะดีกว่าตอนแรกหรือเปล่า หนูก็ไม่รู้ จริงเหรอ?” ใบเฟิร์นพูดออกมาเสียงอ่อย ๆ อย่างไม่มั่นใจ 

เราสังเกตเห็นเสียงของใบเฟิร์นเริ่มสั่น น้ำตาเริ่มคลอเบ้า เราไม่รู้ว่าน้องแบกความรู้สึกอะไรไว้ในใจแค่ไหน เเต่ตอนนั้นเราได้แต่คิดว่า อย่าร้องนะ อย่าร้องไห้นะ ได้โปรด แล้วแบบนี้ AR (ฝ่ายดูแลศิลปิน) ของวงที่มายืนดูเราสัมภาษณ์อยู่จะคิดยังไงล่ะเนี่ย

“เมื่อก่อนอะสามวันพี่ใบเฟิร์นถึงทำได้ แต่ตอนนี้ทำได้ในวันเดียวแล้ว บางท่าอะ เก่งขึ้นเยอะ” ใบบัวเสริมขึ้นมา

“เร็ว” บีมที่นั่งอยู่ติดกับใบเฟิร์นเสริมขึ้นมาสั้น ๆ อย่างเห็นด้วย

“ใช่ เร็วขึ้นเยอะเลย เมื่อก่อนช้ากว่านี้” ใบบัวพูดต่อ

“ไม่ค่อยมั่นใจ เป็นคนแบบไม่ค่อยมั่นใจ” ใบเฟิร์นเริ่มจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จากมุมคนที่เพิ่งจะเคยเข้ามาดูเบื้องหลัง เราตกใจกับเเรงกดดันที่น้องเจอมาก คือคิดดูว่าแค่ถามไม่กี่คำน้องก็ร้องไห้ออกมาแล้ว เหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่อัดอั้นมานาน เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของไอดอลที่ดูสวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบจะต้องเจอแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้

“มีตอนไหนที่เครียดที่สุด เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?” เราเสี่ยงถามดูเพราะอยากรู้ เพราะจริง ๆ เราก็ไม่ได้อยากเห็นน้องร้องไห้เลย

ใบเฟิร์นเริ่มสะอื้นออกมา พึมพำกับตัวเองเบา ๆ จับใจความได้ว่า ‘เราเครียดอะ’
จนถึงตอนนี้ทุกคนภายในห้องก็ตกใจปนกังวล ทุกสายตาจับจ้องมาที่ใบเฟิร์นด้วยความเป็นห่วง

“โอ๋ ๆ ๆ ๆ” ใบบัวพยายามปลอบเมมเบอร์รุ่นพี่

“ตอนนี้ซ้อมเพลงใหม่กันอยู่ค่ะ” ใบหม่อนหันมาพูดกับเรา

ใบเฟิร์นยังสะอื้นอยู่ เราเห็นน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาก่อนที่ใบเฟิร์นจะปาดออกแล้วพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า

“มันก็…เครียดตลอดแหละ อือ………” เสียงสะอื้นดังขึ้นมาอีกครั้ง

“กังวลเฉย ๆ หนูขี้กังวล แบบหนูจำช้าอะไรแบบนี้อะค่ะ หนูก็เครียดทุกเพลง แต่ว่าเพลงที่มันยากก็จะเครียดนิดนึง ถ้าเป็นเพลงแบบ Stop ก็จะเครียดน้อยสุด” ใบเฟิร์นพูดกับเราด้วยน้ำเสียงที่ฟังรู้เรื่องมากขึ้น

“อะกินหนมก่อน” เราพูดพร้อมยื่นเยลลี่ที่ซื้อมาฝากให้น้อง

ใบเฟิร์นเริ่มหัวเราะขึ้นมาได้เบา ๆ ก่อนจะรับเยลลี่ไป ไม่ยักจะรู้ว่าเรื่องเล็กน้อยแบบแค่ได้กินเยลลี่มันทำให้น้องมีกำลังใจและมีความหมายกับน้องได้ขนาดนี้ ที่ผ่านมาเราคิดว่าไอดอลทุกคนจะถือตัวกว่านี้ซะอีก ตอนเข้ามาสัมภาษณ์ในทีแรกก็แอบกลัวเหมือนกันว่าน้องจะไม่อยากคุยกับเรา

ตอนนี้ทุกคนพยายามพูดปลอบและให้กำลังใจกันจ้าละหวั่น ซึ่งทำให้เราเห็นทีมเวิร์กในวงมาก

หลังจากนั้นใบเฟิร์นก็เล่าว่าที่จริงตัวเองถนัดร้องเพลงมากกว่า แต่พอมาอยู่จุดนี้เลยต้องเต้นด้วย ซึ่งไม่ถนัดเลย การที่เราต้องแบกความคาดหวังของตัวเองและคนอื่นเอาไว้มันคงจะหนักจริง ๆ การที่ต้องจำลำดับท่าเต้นเป็นร้อย ๆ ท่า และเต้นออกมาต่อหน้าคนเป็นร้อยเป็นพันคนก็คงจะหนักไม่ต่างจากการที่เราต้องเข้าประชุมวางแผนปีหน้าสำหรับออฟฟิศเหมือนกันล่ะนะ 

ป๊อปเล่าว่าที่จริงถึงตัวเองจะร้องได้เต้นได้แต่ก็ยังไม่ถนัดในการเข้าหาแฟนคลับอยู่ดี เพราะปกติเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยกับใคร แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่ชอบเอาใจหรือเซอร์วิสใคร

“บางที่เห็นเมมเบอร์ (สมาชิกในวง) คนอื่นเขาหยอกล้อหรือคุยกับแฟนคลับเหมือนสนิทกันมาก ๆ แล้วกลับมามองตัวเองก็รู้สึกเฟลเหมือนกัน กลัวว่าแฟนคลับจะน้อยใจหรือเปล่าที่เราทำให้เขาเหมือนเมมเบอร์คนอื่น ๆ ไม่ได้ ตอนแรก ๆ คิดว่าตัวเองจะพัฒนาได้ สักวันอาจจะทำได้เหมือนคนอื่น ๆ แต่พอมันผ่านมา 2 ปีแล้ว เราก็พัฒนาขึ้น แต่มันก็ถึงจุด ๆ นึงที่เราต้องยอมรับว่า นี่มันก็คือตัวตนของเรา เราไม่มีทางเป็นเหมือนคนอื่นได้หรอก มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ใช่ไทป์ไอดอลเลย เมื่อก่อนเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นไอดอลและตอนนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าเราไม่เหมาะกับการเป็นไอดอลจริง ๆ”

“เคยอยากเลิกมั้ย?” เราถามป๊อปพร้อมกับยื่นมือถือที่กำลังอัดเสียงบทสัมภาษณ์เข้าไปจ่อปากของป๊อป เพราะป๊อปพูดเบามาก กลัวว่าจะเอามาฟังไม่รู้เรื่อง

“เคย…หลายรอบ” ป๊อปสะอึกไปนิดนึงก่อนจะตอบเบา ๆ

“คือหนูก็ยังคิดอยู่เสมอนะว่าหนูไม่เหมาะกับสายไอดอลเท่าไหร่ คิดมาตั้งแต่แรก แต่ก็คิดว่าลองดู ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ”

แล้วคิดว่าตัวเองเหมาะกับอะไร? เราถามต่อ

“อืม…คิดว่าตัวเองเหมาะอยู่เบื้องหลังมั้ง แต่แฟนคลับหลาย ๆ คนก็ทำให้เราฮึดขึ้นมาค่ะ ก็ยังคงชอบการขึ้นเวทีการร้องเต้นเพอร์ฟอร์มอยู่ และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไปค่ะ”

จริง ๆ พอเราได้ฟังเรารู้สึกได้ทันทีว่าป๊อปคงยังไม่ได้อยากเลิกจริง ๆ หรอก เรารู้สึกว่าป๊อปแค่ยังไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ในด้านการเข้าหาแฟนเพลง แต่ก็นะ…ไม่มีใครเก่งไปซะทุกอย่างหรอก

แต่เพราะสำหรับวงดนตรี การที่มีแฟนเพลงก็เหมือนกับเราขายของแล้วมีลูกค้านั่นแหละ การที่เราสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเอาไว้ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ 

แฟน ๆ มาดูกันล้นหลาม จนเราแทรกตัวเข้าไปข้างหน้าไม่ได้ บนเวทีกลายเป็นจุดรวมสายตาที่แม้แต่ร้านขายอาหารที่มาออกบูธยังหันไปมอง ไม่แปลกที่น้อง ๆ จะเครียดกับการซ้อมไปบ้าง เพราะว่ามีคนรอดูอยู่เยอะจริง ๆ น้องในวงเคยให้เราฟังแต่ตอนนั้นเราไม่ได้กดดันเสียงไว้ เลยจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูดและ แต่แฟนเพลงที่มาไกลที่สุดคือนั่งรถมาจากลำปางหรือลำพูนนี่แหละ พอเห็นคนที่เค้าต้องพยายามอย่างมากในการมาดูโชว์ ความเครียดก็คงตามมาแหละนะ เพราะทุกคนก็อยากทำให้โชว์ออกมาดีที่สุด 
ตัดภาพกลับมาตอนเรานั่งคุยกับน้องในห้องซ้อมเต้น มนุษย์ขี้สงสัยอย่างเรายังคงมีคำถามผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเพราะว่าได้เข้ามาคุยกับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน ทำให้ยิ่งมีคำถามมากกว่าเดิม

“คิดว่ามาทำแบบนี้ทำให้เราเสียชีวิตช่วงวัยรุ่นไปมั้ย?” เราถาม

“เสียชีวิต?” บีมบีมที่นั่งอยู่เยื้องไปทางขวาเราพูดตัดขึ้นมาเพราะเราพูดไม่เคลียร์

ทุกคนภายในห้องหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

“เสียช่วงชีวิต ๆ พูดผิด ๆ” เรากลั้นขำและถามต่อ

“เรื่องนี้ต้องใบหม่อนปะ เพราะใบหม่อนอยู่ในช่วงนั้นพอดี” บีมพูดขึ้นมา เราเลยได้หันไปคุยกับใบหม่อน

“จริง ๆ ต้องอยู่ม.อะไรเเล้วเนี่ย?”

“จริง ๆ ต้องอยู่ม.หกค่ะ แต่ว่าหนูออกมาสอบเทียบ ตอนนี้อยู่ปีหนึ่งค่ะ คือเหมือนคนรอบตัวจะเสียดายแทนค่ะ เค้าบอกว่าชีวิตช่วงวัยรุ่นอะ ม.ปลายคือดีสุดแล้ว แบบไม่ได้สัมผัสชีวิตม.ปลาย” ใบหม่อนตอบพร้อมกับดัดเสียงเป็นเสียงล้อเลียนคนที่เคยพูดด้วยในประโยคหลัง ๆ

ทุกคนในห้องหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศในห้องกลับมาสดใสขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ตอนนี้เราชำเลืองมองใบเฟิร์นก็เห็นว่ากลับมาสดใสเหมือนเดิมแล้ว

“คนที่พูดคือใคร น้องม.ต้นเหรอ?” เราต่อมุกใบหม่อนเพื่อที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้นไปอีก

ทุกคนในห้องยังคงหัวเราะอยู่

“ก็แม่ แล้วก็เพื่อนที่ม. เค้าชอบมาคะยั้นคะยอถามว่าทำไมไม่เรียนม.ปลาย ไม่เสียดายชีวิตช่วงนั้นเหรอ แบบนู่นนี่นั่น ๆ หนูก็จะ…ไม่…บางที…คือมันก็นิดนึง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเสียดายขนาดนั้นเพราะหนูรู้สึกว่ามาตรงนี้หนูก็แฮปปี้ดี คิดว่าเลือกได้โอเคแล้ว” ใบหม่อนตอบเราด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เราคิดว่าน้องคงชัดเจนในเส้นทางที่เลือกแล้วแน่นอน 

บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เราถามถึงโชว์แรกของวงเพราะอยากรู้ว่าความรู้สึก ความคาดหวังของตัวเองต่อโชว์จะเป็นยังไง ปายกับบอสบอกเราว่าคนเยอะกว่าที่คาดไว้มาก เพราะว่าแสดงเป็นวงสุดท้ายในงาน และดูเหมือนทุกคนจะคิดว่าคงไม่มีใครอยู่รอดู แต่ว่าผิดคาดมาก ๆ

“แล้วพอจบโชว์แรกแล้วรู้สึกยังไง” เราถาม

ใบบัวพูดขึ้นมาหลังจากเงียบอยู่นาน น้องบอกเราว่าลายคนในวงก็ร้องไห้กันหมด เพราะเหนือความคาดหมายแล้วก่อนหน้านี้ก็ซ้อมหนักกันมาก ๆ

“ไม่…คือเค้าให้พูดความรู้สึกใช่มั้ยคะว่าแต่ละคนรู้สึกยังไง” บอสเสริมขึ้นมาให้เราฟัง

“ชอบจังเลยเนอะ เมาท์คนอื่น ค่ะ…ตอนนั้นแย่อยู่” บีมบีมที่วันนี้เหมือนจะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูดก็พูดแทรกมา เหมือนกับรู้ว่าทุกคนหมายถึงใคร ตอนนี้ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทุกคน

“ไม่ ก็เหมือนเราได้กลับมาทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเราจะไม่มีโอกาสแล้ว แล้วตอนนั้นมันก็มีคนมา…” บีมบีมอธิบายความรู้สึกถึงสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้ ทุกคนในวงหันไปมองเป็นตาเดียว

“เดี๋ยวเหอะ ๆ ๆ” บีมบีมทำเสียงเข้มพูดแก้เขิน ก่อนทุกคนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เหมือนมีคนมาเชียร์เยอะ แล้วตอนนั้นเหมือนเราได้กำลังใจเกินร้อย พอคนมาเชียร์เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย…มันมาถึงจุดที่มี…มันก็เวทีแรกอะ เราก็ตื่นเต้นอะ เหมือนตื่นตา เราก็เออว่ะ….หรือเราอาจจะดังก็ได้ เราก็คิดอย่างงี้” บีมบีมบอกเราด้วยน้ำเสียงทะเล้นทีเล่นทีจริง แต่เราว่าตอนนี้ฟีเวอร์ก็ดังแล้วนะ

“คือร้องไห้เพราะรู้สึกตื้นตันใจ?”

“ใช่ แต่จริง ๆ ที่ร้องไห้อะเพราะบีมอะ…เจอเพื่อน คือไม่คิดว่าเค้าจะมา คือเราเซนส์สิทีฟกับคนรู้จักอะ เหมือนเรารู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมเค้ามาด้วย? คือเค้าไม่ได้บอกว่าจะมา คือกะมาเซอร์ไพรส์ พอเห็นปุ๊บน้ำตาก็เลยคลอเบ้า” บีมบีมขยายความ

“พี่บีมเค้าเป็นคนที่ขี้แงที่สุดในวง” ฟอล์ยที่นั่งอยู่ขวาสุดข้างเราพูดขึ้นมา

“ใช่” บีมบีมยืนยัน ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะออกมาลั่นห้องจนบีมบีมต้องพูดแก้เขินเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบว่า อะไร!! 

“พี่คะ เดี๋ยวหนูจะล็อกห้องน้ำเพราะว่าด้านในห้องไม่พอ พวกหนูจะเปลี่ยนชุดกัน ถ้าใครจะเปิดห้องน้ำช่วยบอกเค้าหน่อยได้มั้ยคะ?” บีมเปิดประตูออกมาพูดกับเราหลังจากเข้าห้องน้ำไปเพื่อเปลี่ยนชุดได้ไม่นาน

และแน่นอนว่าหลังจากนั้นมีแม่บ้านจะเข้าไปทำความสะอาดพอดี แต่น้องคงไม่รู้

ต่อให้ไม่ได้รับความสะดวกเท่าไหร่ ไม่ได้มีห้องพักศิลปิน (Green room) ที่แบ่งเป็นกิจจะลักษณะ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ได้รับความเป็นส่วนตัว แต่ทุกคนก็ยอม เพื่อความฝันของตัวเองล่ะนะ 

บอสเล่าให้เราฟังถึงความเครียดในตอนแรกที่เพิ่งเข้ามาทำวงว่ากว่าทุกคนจะเต้นและร้องเพลง Start Again ได้เต็มร้อยต้องซ้อมกันถึงสามเดือน เพราะทุกคนเข้ามามีพื้นฐานไม่เท่ากันด้วย แถมเป็นเพลงเปิดตัวอีก

“ด้วยความที่เพลงแรกมันเป็นเพลงเปิดตัวด้วย คนจะต้องเห็นโชว์เราจากเพลงแรกทุกคนก็เลยมีความคาดหวัง แล้วเราก็แบบเออต้องทำให้ดีอะไรแบบนี้ ก็อาจจะมีความเครียดที่ว่าแบบบางคนยังเต้นไม่ได้ บางคนเต้นได้แล้ว อาจจะมีความแบบ เฮ้ยทำไมเราเต้นไม่ได้ซักที” บอสที่นั่งอยู่ตรงหน้าเราเป๊ะ ๆ เล่าให้ฟัง

ซึ่งไม่แปลกที่เมื่ออะไรก็ตามที่เราเคยทำเป็นงานอดิเรกกลายมาเป็นงานหลัก มันมักจะพ่วงมาด้วยความเครียดเสมอ อย่าว่าแต่น้องเลย วันที่เราต้องออกไปถ่ายภาพ (รวมถึงงานนี้ด้วย) เราก็เครียดเหมือนกัน การที่น้องกลัวการเต้นผิดมันก็คงเหมือนการที่เรากลัวทำงานอะไรซักอย่างของเราผิดนั่นแหละ แต่ต่างกันที่มันเป็นความผิดที่ผิดแล้วผิดเลย ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปเต้นใหม่ได้ 

“ทุกคนดูจะซ้อมกันหนัก มันทำให้เครียดแค่ไหนเหรอ?” เราถาม

“ชอบฝันร้ายว่าแบบเราขึ้นไปแสดงแล้วเราทำพลาด หรือแบบทะเลาะกับเมมเบอร์อะไรอย่างงี้ มันจะชอบฝันร้ายแบบนั้น” ฟอล์ยที่นั่งติดกับเราทางขวาพูดออกมา ความเครียดคงอยู่ในจิตใต้สำนึกจนเก็บไปฝันนั่นแหละ

“คือมันเหมือนหัวเราช้าแล้วเราจะเข้าใจยากกว่าคนอื่นอะไรอย่างงี้ มันเหมือนแบบจำช้ามากกว่า”
ฟอล์ยพูดออกมาเสียงเบาลง เสียงและแววตาของน้องดูไม่มั่นใจเลย ทั้ง ๆ ที่ตอนเรายืนดูน้อง ๆ เต้นก่อนเข้าห้องมาสัมภาษณ์ก็ดูทุกคนจะทำได้ดี แต่กว่าจะทำได้ดีขนาดนี้คงเสียเหงื่อเสียน้ำตามาเยอะ

“ก็ถามคนที่เต้นเก่ง ๆ ว่าเค้าทำยังไง ก็ถามไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะดีขึ้น แล้วพยายามจำความรู้สึกที่ทำได้เอาไว้ เวลาที่ทำถูกมันจะมีความรู้สึกอีกแบบ”

“หนูร้องไห้ทุกเพลงอะ ช่วงใกล้ ๆ ที่จะแสดงแล้วเค้าจะให้สอบแล้วมันเหลือเราแค่คนเดียวอะที่ยังสอบไม่ผ่าน ก็จะกดดันมาก กลัวทำให้ทั้งวงเละเพราะเราอะไรแบบนี้” ฟอล์ยเล่าให้เราฟังเหมือนว่าอัดอั้น

หลังสัมภาษณ์เราได้ตามไปห้องพักศิลปิน หลังเวที และหน้าเวที ภาพนี้เราถ่ายจากห้องพักศิลปิน เราเห็นฟอล์ยแต่งตัว แต่งหน้าเสร็จคนแรก ภาพที่เราเห็นคือในระหว่างที่ทุกคนกำลังแต่งหน้าอยู่ฟอล์ยก็ทวนท่าเต้นอยู่ด้านหลัง เพราะดูเหมือนว่าอยู่ดี ๆ ก็เกิดลืมท่าเต้นขึ้นมากระทันหัน หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ พอป๊อปแต่งหน้าเสร็จป๊อปเลยมาชวนทวนท่าเต้นให้ 

“แล้วตอนนั้นเวลาเห็นคนอื่นในวงเป็นช้ากว่า รู้สึกยังไงมั่งอะ?” เราหันไปถามคนที่เหมือนจะคอยติวท่าเต้นให้เพื่อน ๆ ในวง

“ก็อยากจะช่วยเค้าค่ะ ก็ช่วยอยู่เรื่อย ๆ หนูกับพี่ซูก็จะมีหน้าที่เป็นอาจารย์” ป๊อปพูดเบา ๆ เรายื่นมือถือไปจ่ออีกครั้ง

“เป็นอาจารย์สอนคนที่แบบยังทำท่านั้นท่านี้ไม่ได้อะค่ะ” ซูพูดเสริม

“สอนนานมั้ย คนนี้อะ” เราถามและชี้ไปทางฟอล์ย

ซูกับป๊อปบอกว่าใครยังไม่เป็นก็สอนไปเรื่อย ๆ ก่อนทุกคนในวงสนทนาจะหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน และดูเหมือนทั้งสองคนก็จะเต็มใจสอน ไม่ได้อิดออดอะไร

ถึงแม้ว่าฟอล์ยจะตั้งใจซ้อมจนแสดงได้ดี เราก็รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกฟอล์ยมาก ๆ เพราะบางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของคนในออฟฟิศเหมือนกัน 

เรายืนอยู่ที่หลังเวทีอยู่กับวง ก่อนที่จะขึ้นโชว์ ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยเล่นกัน เราเห็นใบบัวยืนดูวงก่อนหน้าแสดงแบบตั้งใจมาก

“ตอนนี้นี้นี่ตื่นเต้นที่สุดของวันแล้วหรือยัง?” เราถาม

“ที่สุดแล้วค่ะ” ใบบัวตอบสั้น ๆ

“ปกติเวลาทำสมาธินี่ทำยังไงอะ” มนุษย์ขี้สงสัยแบบเราถามต่อ จังหวะนั้นเราต้องเอามือป้องปาก พูดกึ่งตะโกนคุยกัน เพราะว่าเสียงดังมาก

“บูมค่ะ เวลาบูมแล้วมันเเบบเหมือนได้กรี๊ดอะ เหมือนได้มา ว้ากกกกก แบบมาเล้ยยย ต้องทำได้ มันรู้สึกโล่งค่ะเวลาได้บูมกับเพื่อน ๆ มีผลเยอะมาก บางวันไม่ได้บูมคือก็จะหงอยไปเลย เหมือนพอเราบูมแล้วเราได้ตะโกนอะ เหมือนเราได้ปล่อย ปล่อยให้มันเป็นแบบเวที ๆ นี้เลย แบบไม่ใช่…เหมือนมันมีพลังอะเวลาเราได้บูม”

ใบบัวตอบเราก่อนจะไปรวมกับกลุ่มเพื่อน ๆ เพื่อบูม 

เสียงแฟน ๆ ยังคงดังกึกก้อง มีคนร้องตาม มีคนโบกมือ มีคนถ่ายคลิป และถ่ายรูป ส่วนน้อง ๆ ก็ยังทำหน้าที่บนเวทีได้อย่างดี เสียงเพลงแนว Synth Pop ของวง FEVER ดังลั่นสยามสแควร์ในช่วงดึก เราเดินย้ายมุมกล้องไป ๆ มา ๆ เห็นรอยยิ้มของคนดูอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าก่อนน้องขึ้นโชว์มีคนมาบรีฟกับเราว่าห้ามถ่ายติดหน้าคนดูกับวง ก็เลยไม่ได้ถ่ายภาพหน้าคนดูมา

จนถึงตอนนี้ผู้ชมเดินเข้ามาสมทบเรื่อย ๆ จนแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เราไม่หงุดหงิดเลยที่เราทำงานลำบากเพราะต้องแทรกตัวไปในฝูงชน ต้องยืนเบียด หรือหามุมไม่ได้เพราะคนแน่นขึ้นกว่าตอนกลางวันเยอะ เพราะนั่นแสดงถึงการประสบความสำเร็จของวงหนึ่งวง ตอนนี้ความพยายามของวง FEVER ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกำลังผลิดอกออกผลให้เห็นแล้ว 

“หนูไม่ใช่คนที่แบบเพอร์เฟคชั่นนิสอะไรก็เลยไม่ค่อยได้เครียดอะไรมาก แต่ว่าเป็นคนแบบ ชอบเล่นใหญ่ ชอบเวอร์ ชอบแบบมาสุด ใส่เต็มมากกว่าใคร แบบลุยให้เต็มที่แล้วค่อยดูผล เวลาที่รู้สึกว่าเอองานนี้แบบไม่ค่อยได้ใส่เต็มมากอะ มันจะรู้สึกแย่กับตัวเองว่าเออ ทำไมไม่เต็มที่เลยวะ? แกทำได้ดีกว่านี้ มารู้สึกเหนื่อยอะไร คนดูอุสาห์มาหาแกนะเว่ย ทำไมทำแบบนี้กะเขาวะ” ใบบัวเล่าให้เราฟังถึงสิ่งที่คิดระหว่างแสดงบนเวที 
ทันที่ที่แสดงเสร็จ วงก็ต้องกลับไปที่บูธให้แฟน ๆ ถ่ายรูป ก่อนจะกลับไปยังห้องพักศิลปิน ซึ่งบอสดูท่าจะไม่ไหวแล้ว พี่ AR บอกว่าหายใจไม่ทัน เพราะว่าเหนื่อยแล้วก็ร้อนเกินไป เพราะต้องเต้นบนเวทีที่โดนไฟสาดใส่ตลอดเวลา

เราเห็นความกล้าแลก ความทุ่มสุดตัว การทำทุกอย่างเพื่อความฝัน ความซื่อสัตย์กับแฟนเพลงผ่านเหตุการณ์นี้ ทันทีที่เรากดชัตเตอร์ถ่ายเหตุการณ์นี้ เรารู้ได้เลยว่าน้องไม่ต่างอะไรกับคนหลายคนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อความฝัน เพียงแต่ความฝันของน้องคือการเป็นวงไอดอล

ในภาพคือพี่ AR พาบอสขี่หลังเพื่อเข้าไปปฐมพยาบาลในล็อบบี้โรงแรม ก่อนจะพาขึ้นไปที่ห้องประชุมที่ถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักศิลปิน 

ณ ตอนนี้ เรารู้สึกว่าความพยายามทุกอย่างของน้อง ๆ และทีมงานทุกคนจะสื่อออกไปถึงคนดูได้แล้ว

แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อรอยยิ้มบนเวทีจบลง วันพรุ่งนี้ของสมาชิกวงแต่ละคนจะเหนื่อยยากขนาดไหน เห็นได้ข่าวว่าท่าเต้นเพลงใหม่ที่กำลังจะปล่อยในวันที่ 11 ธันวานี้ยากซะด้วย แต่พอบทความนี้ออกไป ทุกคนคงจะได้ฟังเพลงใหม่ของ FEVER แล้วแหละนะ

เอาเป็นว่าเราเข้าใจว่าสิ่งที่แย่ที่สุดของการเป็นความหวัง คือการที่ทำให้คนที่คาดหวังในตัวเราผิดหวัง แน่นอนว่าน้อง ๆ ยังคงซ้อมกันอย่างหนักต่อไปเพื่อทำให้แฟน ๆ และตัวเองสมหวังและพอใจกับผลงาน

พอโชว์จบลงเราขึ้นไปส่งน้อง ๆ ที่ห้องพักศิลปินก่อนจะร่ำลาทุกคนและกลับบ้าน ถึงจะไม่ใช่แฟนเพลงแนว Synth Pop แต่แน่นอนว่าระหว่างทางเราฮัมเพลงของ FEVER ตลอดเวลา…ก็เพลงมันเพราะและติดหูนี่นา 

Loading next article...