ทันทีที่ได้ข่าวว่ามีเด็กโดนไล่ออกจากบ้านเพราะมีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับพ่อและออกมาขอรับบริจาคเพื่อเป็นทุนในการใช้ชีวิต ทำให้เราตกใจมากแต่ก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่เพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุในตอนนี้ มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นสงครามระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยม (ที่ส่วนมากจะเป็นผู้ใหญ่มีอายุ) กับฝ่ายประชาธิปไตย (ที่ส่วนมากจะเป็นคนรุ่นใหม่)
พวกเรามาเจอกันในอิริยาบทสบาย ๆ ในร้านขนมร้านหนึ่ง หลังจากที่น้องสั่งขนมอย่างเกรงใจพวกเราก็จัดแจงหาที่นั่งที่โต๊ะบริเวณมุมร้าน เด็กผู้หญิงตัวเล็กดึงเก้าอี้ด้านข้างออกมาวางกระเป๋าที่ติดตัวมาด้วย และดึงเก้าอี้อีกตัวออกมาเพื่อนั่ง
“คืนนั้นไปอยู่เซเว่น ตอนนั้นมีกระเป๋าเป้ใบนึง ก็จับยัดทุกอย่าง จับยัด ๆ ๆ แล้วก็เอากระเป๋าใบนี้สะพายมาด้วย (ชี้ไปที่กระเป๋าผ้าอีกใบ) แล้วก็เอาตุ๊กตาหมีเน่ามาตัวนึง”
น้องเล่าว่าตัวเองออกจากบ้านมาอย่างกระทันหันกลางดึกจากย่านสำโรง ไม่ได้มีเงินติดตัวออกมาเท่าไหร่
ย้อนกลับไปตอนออกจากบ้าน ออกมาด้วยเงินเท่าไหร่เหรอ บอกได้มั้ย?
“เป็นเศษเหรียญติดกระเป๋าเลยอะค่ะ ดังแบบ ก๊อง ๆ ๆ ๆ งี้”
แปลว่าออกมาแบบไม่ได้คิดอะไรเลย?
“ใช่ค่ะ คือแบบ ไม่ไหวแล้ว เพราะช็อกแล้วก็ตกใจกับพ่อตัวเองมาก ที่เปลี่ยนไปอะไรแบบนี้อะค่ะ”
ในบัญชีก็ไม่มีเลย?
“ไม่มี ในบัญชีมีอยู่ 60 บาท ซึ่งมันไม่ถึงร้อยมันก็เบิกไม่ได้” น้องหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงเสียงดังเหมือนกับว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่เรากลับรู้สึกว่าเสียงหัวเราะตรงหน้ามันเป็นการหัวเราะไม่เต็มปาก เหมือนกับว่าพยายามกลบเกลื่อนความกังวล เพราะถึงปากจะหัวเราะ แต่แววตาของน้องไม่ได้หัวเราะไปด้วย
น้องเล่าให้เราฟังอย่างต่อเนื่อง มีคำพูดพรั่งพรูออกมาเรื่อย ๆ เหมือนก๊อกแตก ตอนนี้ไอติมตรงหน้าไม่ได้เป็นจุดสนใจของน้องอีกต่อไปแล้ว
ตอนนั้นตกใจแค่ไหนอะ?
“แววตา ท่าทาง บรรยากาศ มันอึมครึมมากค่ะ พ่อแบบว่านั่งบนโซฟาแบบนี้” น้องเอนตัวพิงพนักแล้วไขว่ห้างหลวม ๆ เพื่อให้เราเห็นภาพท่าทางของพ่อมากขึ้น
“แล้วก็แบบว่า ‘มึงนี่เก่งจริง ๆ เลยนะ!’ ” น้องขึ้นเสียง
“คือพ่อหนูไม่เคยเป็นเลย จากผู้ชายที่แบบมานั่งดูทีวี (ทำท่านั่งแบบเรียบร้อย) น้ำเสียง แววตา คำพูด แล้วก็ท่าทางด้วยค่ะ แต่ก็มีคนเค้าคอมเมนต์มาว่าแบบ ถ้าเกิดว่าปกติพ่อสุภาพแล้วอยู่ดี ๆ มาด่าแบบนี้ก็แสดงว่าลูกก็เลวเองหรือเปล่า?”
น้องเงียบไป มีเสียงช้อนกำลังตักไอติมตรงหน้าที่ละลายไปค่อนถ้วยมาแทนที่
ระวังเลอะเสื้อ ๆ
ถอดหน้ากากก่อนมั้ย? เราบอกให้น้องถอดหน้ากากที่ถอดพักไว้ที่คางออก
“ไม่เป็นไรค่ะ หยดใส่หน้ากากก็ยังดีกว่าหยดใส่เสื้อ” น้องหัวเราะออกมาเสียงดังอีกครั้ง
“ตัวนี้เพิ่งซื้อมาค่ะพี่ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีเสื้อผ้า”
ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านด้านข้างของร้านออกไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง เวลาภายนอกร้านยังคงไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขัดกับบรรยากาศตรงหน้าเราที่ดูเหมือนเวลาจะหยุดนิ่ง และหนักอึ้ง ถึงน้องจะไม่ได้มีน้ำเสียงที่สื่อถึงความกังวลเท่าไหร่ ที่ต้องใช้คำว่าเท่าไหร่ก็เพราะว่าหลายครั้งที่เวลาจะจบประโยคน้ำเสียงน้องดูสั่น ๆ แต่เหมือนกับพยายามข่มใจเอาไว้เพราะไม่อยากให้เรา (หรือบทสัมภาษณ์นี้) เครียดตามไปด้วย
แล้วตอนนั้นนอกจากตกใจแล้ว เป็นยังไงอีก?
“กลัวค่ะ พูดเลยว่ากลัว เราคิดว่าเค้าดูแปลก ดูอันตราย ไม่เหมือนคนเดิมที่เราเคยรู้จัก เรารู้สึกไม่ปลอดภัย นี่คือพ่อเราจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย”
“คือวันที่ 25 ตอนกลางคืน เราดูทีวีกันอยุ่ แล้วเค้าก็นำเสนอข่าวการชุมนุมที่ SCB นั่นแหละค่ะ แล้วแบบเราก็นั่งดูทีวีกัน ยังไม่ได้ขึ้นนอน แล้วพ่อก็พูดขึ้นมา คือหนูจำคำพูดแม่น ๆ ไม่ได้ แต่อารมณ์ประมาณว่าแบบ ‘คนพวกนี้อะ โดนล้างสมอง โดนปลุกปั่น ธนาธรปั่น’ อะไรประมาณนี้อะค่ะ หนูก็เลยบอกว่า ‘ป๊า ไม่พูดเรื่องการเมืองในบ้านได้มั้ย?’ เพราะหนูรู้สึกว่าการเมืองมันร้อนแรงและรุนแรง หนูรู้สึกว่าอยากให้บ้านมันเป็นเซฟโซน เป็นอะไรที่เราอยู่แล้วสบายใจค่ะ”
ถึงแม้ว่าเราจะเห็นต่างกัน?
“ใช่ ๆ ใช่ค่ะ”
กินไปพูดไปได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ
“ว้ายยยยยยย” น้องหันมองถ้วยไอติมที่ละลายเกือบหมดก่อนจะตักเข้าปากแบบรีบ ๆ และพูดต่อ
“ใช่ค่ะ คือเค้าพูดแบบจะให้เราเชื่อเหมือนเค้า แต่เป็นการพูดลอย ๆ เหมือนเล่าให้ว่าเนี่ย ‘เมกาจ้างมา เมกาเป็นคนทำ’ มาหมดเลย คือหนูก็ทนมานานแล้ว แล้วหนูก็อึดอัดอะ เพราะก่อนหน้านี้เค้าก็พยายามจะมาพูดเรื่องการเมืองกับหนูแล้วก็จะมาพูดแบบ (ทำท่าสะกิดไหล่) เฮ่ย จริงเปล่า? แล้วหนูก็ตีมึนนะ หนูนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ แล้วเค้าจะแบบ เราว่าไง? เฮ่ย ๆ แล้วก็สะกิดไหล่หนูเลยอะ คือหนูตีมึนยังไงเค้าก็จะให้หนูพูด คือเค้าก็รู้ว่าหนูไม่ได้คิดเหมือนเค้าอะ เเล้วเค้าก็จะให้หนูพูดแล้วจะให้เป็นเรื่องทะเลาะกันทำไม ครั้งนั้นอะ หนูเลยเดินหนีขึ้นห้องไปเลย อันนี้คือก่อนหน้าวันที่จะโดนไล่ออกนะคะ คือหนูก็พยายามที่สุดแล้วอะ”
ตอนนี้ไอติมละลายเต็มถ้วยแล้ว แต่วงสนทนาดูท่าจะยังไม่จบลงง่าย ๆ
เราพอจะจินตนาการความรู้สึกของน้องออก เพราะอยู่ดี ๆ เสาหลักหรือสิ่งที่เชื่อถือมาทั้งชีวิตมาพังทลายลงต่อหน้า มันคงเป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า บอกไม่ถูกจริง ๆ
พอเราถามถึงแม่ น้องก็เล่าว่าพ่อกับแม่หย่ากัน แต่ความเห็นทางการเมืองเป็นไปในทางเดียวกับพ่อและแน่นอนว่าแม่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่น้องทำ ถึงแม่จะอายุเยอะและปวดหลังแต่เมื่อน้องเสนอว่าอยากจะซื้อสายรัดหลังให้แม่กลับปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ‘ถ้าเงินมาจากทางนั้น ก็ไม่ต้องซื้อมาให้’
เราไม่ได้มาหาน้องเพราะเราอยากหาทางออกให้ มาช่วย หรือมาชี้นิ้วสั่งว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ เราเชื่อว่าน้องมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าควรจะทำยังไงต่อ เรามาหาน้องเพราะเราแค่อยากเข้าใจความรู้สึกน้องมากขึ้นก็เท่านั้น ถึงจะไม่ได้เข้าใจความรู้สึกน้องทั้งหมดก็เถอะ เพราะบางอย่างเราก็จินตนาการไม่ออกจริง ๆ
เราไม่รู้ว่าคืนนี้น้องจะรู้สึกยังไง เพราะสำหรับเรา ไม่ว่าเราจะไปทำงานไกลหรือห่างบ้านแค่ไหนเราก็รู้ว่าเรายังกลับไปที่บ้านได้เสมอ แต่สำหรับคนที่คงไม่ได้กลับบ้านแล้วจะเคว้งแค่ไหนกันนะ?
“นักข่าวภาคสนามก็ไม่เป็นมิตรอะ หน้าตาเหมือนไปโกรธใครมา คือหนูไปทำอะไรพี่คะ? อันนี้ก็อาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไป แต่เค้าก็พยายามยิงคำถามเพื่อที่จะแบบให้คนมาด่าหนูอะ เช่นแบบว่า ถ้ารับเงินบริจาคไปแล้ว แล้วถ้ายังไม่พอ จะมารับบริจาคอีกมั้ย? อะไรแบบนี้อะค่ะ คือตอนแรกอะหนูสัมภาษณ์ว่า เนี่ยหนูจะเอาไปตั้งต้นชีวิต เอาไปใช้จ่ายอะไรแบบนี้ก่อน เพื่อนก็จะเอาไปจ่ายค่าห้องก่อนเพราะค้างค่าห้องมาสองเดือน”
คือมันก็ควรจะจบได้แล้ว แต่เค้าก็มาจี้อีก?
“ใช่ ๆ ๆ หนูก็บอกว่าหนูน่าจะเอาไว้ติดตัว ไว้กินข้าว แล้วก็จะหางานทำ แล้วเค้าก็บอกว่า แล้วระยะยาวล่ะ ถ้าเกิดว่าหางานทำไป 2-3 อาทิตย์ล่ะ ถ้ายังหางานไม่ได้จำทำยังไง? จะออกมารับเงินบริจาคอีกมั้ย? แล้วหนูก็เลยพูดไปว่าหนูยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ค่ะ เพราะว่าจะได้ไม่ต้องไปเล่นข่าวอะไรต่อแล้ว”
“ใช่ ๆ ๆ เราต้องการความช่วยเหลือในระดับที่เราแค่พยุงตัวเองได้ วันที่ไปห้าแยกลาดพร้าว เพื่อนหนูคิดแค่ว่าเอาเงินไปจ่ายค่าห้อง ส่วนหนูคิดแค่ว่าเอาเงินติดตัวไว้กินข้าว คือมันก็แค่นี้เองอะ เราคิดกันแค่นี้จริง ๆ เพราะตอนนั้นเราสิ้นไร้ไม้ตอกกันมาก”
น้องยกถ้วยไอติมขึ้นมาซดไอติมที่ละลายอยู่จนหมดถ้วยก่อนจะดึงทิชชู่ออกและหันมามองหน้าเราเหมือนจะถามว่ามีอะไรจะถามอีกมั้ย
แล้วตอนนี้รู้สึกว่าคุ้มมั้ยที่ออกมาจากบ้าน กับทุกอย่างที่เราต้องแลก?
“เอาจริง ๆ ไม่มีใครอยากหนีออกจากบ้านหิ้วอะไรมานิดหน่อยตอนดึก ๆ แล้วก็มานั่งหน้าเซเว่น ไม่มีใครอยากทำแบบนี้หรอกค่ะ แต่จริง ๆ หนูไม่ได้มองเรื่องความคุ้มค่าเลยอะค่ะ ไม่ได้ชั่งน้ำหนักอะไรเลย หนูรู้สึกว่าอุดมการณ์ก็คืออุดมการณ์
ครอบครัวก็คือครอบครัว สำหรับหนูมันแยกออกจากกัน ถึงแม้ตอนนี้มันจะกลายเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้ว เพราะเราขัดแย้งกันเรื่องการเมือง หนูคิดว่ามันไม่ใช่อะไรที่ต้องแลก ครอบครัวไม่จำเป็นจะต้องแลกกับอะไรเลย คือตอนนี้ต่อให้มีใครเอาเงินมาบริจาคให้ แต่สถานะหนูตอนนี้ก็คือโฮมเลส มันไม่มีใครอยากเป็นโฮมเลสหรือเปล่า? มันเศร้านะที่ไม่มีบ้านอยู่”
“ใช่ ๆ”
งั้นแปลว่าสุดท้ายความเป็นครอบครัวก็ตัดไม่ขาดหรือเปล่า?
“ในความรู้สึกมันใช่แน่นอน
ก็ยังเป็นห่วง ยังรู้สึกอยู่ อย่างแม่หนู หนูก็ยังรู้สึกว่าอยากซื้อสายรัดหลังให้เค้าอยู่นะ
จริง ๆ หนูกับพ่ออะ พ่อเค้าเคยพูดไว้สมัยหนูเด็ก ๆ ว่าอยากมีบ้านที่เปิดหลังคาดูดาวได้ เพราะที่บ้านเราชอบดูดาว ชอบเรื่องดาราศาสตร์กัน ตอนเด็ก ๆ พ่อก็ชอบพาไปท้องฟ้าจำลอง แล้วพอตอนนี้มันเป็นอย่างงี้ก็ไม่รู้ว่ายังไงเหมือนกัน คือมันมีภาพในหัวแล้วอะว่าวันไหนฟ้ามืดเราจะเปิดหลังคาแล้วนอนดูดาวกับพ่อในบ้านของเรา”
แล้วพอเกิดเรื่องยังมีภาพนี้ในหัวอยู่มั้ย?
“คือมันก็มีภาพบ้านนะคะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อจะยังมาอยู่กับเราหรือเปล่า”
เราไม่รู้ว่าน้องที่เข้มแข็งคนนี้กำลังคิดถึงหรือรู้สึกเสียดายอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า ไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วสำหรับน้อง ยังไงครอบครัวก็ตัดกันไม่ขาดจริง ๆ