ชาติหน้าคงไม่มีน้ำผึ้งให้เรากินอีกแล้ว
ทุกวันนี้คนไทยเข้าวัด เพื่อขอทำบุญขอพร เพื่อชาติหน้าจะได้อยู่สบาย ๆ
คงไม่มีใครคิดที่จะไปดูงานศิลปะ ที่พูดถึงผึ้งกับภาวะโลกร้อน

มันเกี่ยวอะไรกันอะ แล้วมันเกี่ยวกับเรารึเปล่า

ใครจะไปรู้ว่าตู้เก็บน้ำผึ้งเล็ก ๆ ในวิหาร ของวัดประยูรฯ กำลังบอกเราว่าผึ้งใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว และเราทุกคนกำลังจะตายตามผึ้งไปก่อนชาติหน้าจะมาถึง

ทุกวันนี้คนเราเข้าวัดเพราะเหตุผลไม่กี่อย่าง ทำบุญ ขอพร งานศพ งานบวช กับ ขอเลขเด็ด

วันนี้เราเข้าวัดเพราะ (งาน) ศิลปะ
ไม่ใช่ภาพจิตกรรมรามเกียรติ์ตามฝาผนังนะ

ในช่วงชีวิตเรานี่ นอกจากจะสถานภาพทางการเงินและงานจะไม่มั่นคง เพราะพิษเศษฐกิจที่แย่ลงเรื่อย ๆ และโรคแล้ว ก็คงมีแต่การเข้าวัดทำบุญเท่านั้นละมั้ง ที่จะมั่นคงที่สุด
อนาคตข้างหน้าจะดูจะแย่ลงไปอีก แต่การเข้าวัดก็ยังคงเป็นเหมือนความหวัง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ในช่วงเวลาที่จิตใจเราย่ำแย่

ปี 2020 ที่แสนจะไม่มั่นคง เรายังมา BAB2020 เพื่อดูงานศิลปะในวัดกันทำไม แล้วเอางานมาตั้งในวิหารหลบมุม ๆ แบบนี้เพื่ออะไร มันก็แค่งานศิลป์อีกงานเหรอ

คงไม่มีใครนึกภาพ ก้อนแว็กซ์ยักษ์สีชาด ยึดด้วยเหล็ก และโซ่หนา ๆ ในอุโบสถหนึ่ง ของวัดโพธิ์ (Push/Pull, 2009 – Anish Kapoor) หรือตู้กระจก ที่มีโหลบรรจุน้ำผึ้งนับสิบขวด (Post Apis (Honey Vault), 2020 – Ana Prvacki) ตั้งอยู่ชิดผนัง ใกล้ฐานที่ตั้งพระพุทธรูปในวิหาร ของวัดประยูรฯ เป็นงานศิลปะ แถมยังไปตั้งอยู่ในวัดอีก

อย่างน้อย ๆ ก้อนแวกซ์ยักษ์ ก็…ยังดูเป็นงานศิลปะ แต่ตู้เก็บโหลน้ำผึ้งนี่สิ คนที่ตาม #BAB2020 หรือหากิจกรรมทำแล้วเดินทางมาดูเขาจะมองข้ามมันไปเลยรึเปล่านะ

‘I don’t make very explicit art.’

แอนา บอกกับเราอย่างนั้นตอนที่ได้คุยกัน
งานศิลปะที่ไม่โจ่งแจ้งไม่ชัดเจน มันจะมีคนสนใจงั้นหรอ

งานใน River Route นอกจากไฮไลต์แล้ว ก็มีงาน ตู้เก็บโหลน้ำผึ้ง Post Apis ของ แอนา ปรวาคกิ (Ana Prvacki) เนี่ยแหละ ที่สะดุดใจเรา

งานนี้สามารถพูดถึงเรื่องโลกร้อนได้โดยไม่ต้องพูดถึงโลกร้อนเลยนะ
มันชัดเจนมาก แถมยังมีสุนทรีย์ในการสื่อสาร และนำเสนออีก

การเปรียบความสำคัญของผึ้งเหมือนทองคำ ดั่งสิ่งมีค่าในมุมมองของมนุษย์ แล้วนำไปเก็บรักษาไว้ในเซฟ เพราะข่าวที่ว่าผึ้งกำลังจะสูญพันธุ์ไป ด้วยมลพิษในสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้น และอุณภูมิโลกที่ร้อนขึ้น
เพื่อทำให้คนดูอย่างเราในปัจจุบันระลึกได้ ถึงผึ้ง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหมดในโลกนี้

‘What if bees disappear in 20 years. Your kids will not be able to know what honey tastes like…and the temple is the only place where they could taste a spoon of honey.’
แอนา พูดขึ้นระหว่างที่เราได้พูดคุยกันผ่านอินเตอร์เน็ต

ถ้าลองนึกดูว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ผึ้งทั้งหมดได้สูญพันธ์ุ ไปจากโลกนี้ จะอธิบายรสชาติของน้ำผึ้งให้ลูกหลานเข้าใจยังไง ทางเดียวที่จะให้เขารู้คือต้องมาชิมที่วัด

อืมม จริงด้วย ถ้าไม่มีผึ้งแล้ว เราจะไปหาน้ำผึ้งจากไหน ไม่มีอะไรที่สามารถผลิตน้ำผึ้งได้เหมือนผึ้งนะ

นึกภาพโลกที่ไม่มีน้ำผึ้งอร่อย ๆ แล้ว ก็เป็น Dystopia ของ foodie ดีดีนี่เอง

มันไม่ใช่แค่น้ำผึ้งน่ะสิ ที่จะหายไป

พืชป่า พืชสวน ผลไม้อย่างลำไย หรือผลไม้อื่น ๆ ที่เรากิน ส่งออก และกอบโกยกำไรรายได้หลายร้อยล้านเข้าประเทศ ก็ต้องพึ่งพาผึ้งในการผสมเกสรเพื่อออกผลผลิตให้เราส่งขาย ทยอยล้มหายตายจากเราตามผึ้งไป

เราจะไปเอาผลไม้พวกนี้เพิ่มจากไหน เอาอะไรมาทำเงิน ชาวไร่ ชาวสวน เกษตรกรก็จะพลอยตกงาน ไม่มีสวนกันไปหมด ทั้งที่เป็นประเทศส่งออกผลิตผลทางการเกษตรรายใหญ่แท้ ๆ ไม่สมชื่อเลย

และถ้าไม่มีผึ้งที่คอยช่วยพืชป่าผสมเกสร พื้นที่สีเขียวจากที่น้อยอยู่แล้วในโลกจากการตัดไม้ สร้างโรงงานอุตสาหกรรม จะหายไปหมดเลย

ลาก่อน เครื่องฟอกทางธรรมชาติ ตัวช่วยปอดของเรา แมสก์ ก็คงจะต้องกลายเป็นอวัยวะที่ 34 ต่อจากมือถือไปโดยปริยาย

ถ้าเรายังไม่คิดว่าชาตินี้ มีภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นแบบความเร็วแสง หรือคิดว่าแค่ไม่ได้กินน้ำผึ้งในชาตินี้ ก็ไม่อดตาย ก็เชิญขอเรื่องดี ๆ ทำบุญเก็บแต้มไว้ชาติหน้าต่อไปนะ ถ้าชาติหน้ามีจริง ก็คงจะต้องเป็น Dystopia แน่ ๆ คงไม่น่าอยู่เท่าไหร่หรอก

เอาจริงนะ ขนาดมีป้ายของ BAB และลูกศรชี้บอกว่าอยู่ข้างในวิหาร

เรายังหาไม่เจอ…หรือจะบอกว่า เจอ แต่ไม่แน่ใจ

ตามภาพของงานในเว็บไซต์ มันเป็นตู้เซฟเหล็กในห้องโล่ง ๆ สีขาวนี่นา
ไม่ตรงปกเลยอะ

มันกลายเป็น ตู้กระจกขนาดไล่เลี่ยกับตู้เซฟที่มีเจาะรูหลังตู้ เพื่อหยอดเงินบริจาค
ที่มีขวดโหลบรรจุน้ำผึ้งจำนวนหนึ่งกับโน้ตข้อความอยู่ข้างใน

แค่นั้น…แค่นั้นเอง

มันกลมกลืน แต่ก็ไม่ได้ถูกกลืนหายไปซะทีเดียวไปกับแถวตู้บริจาค เหมือนกลุ่มเพื่อนที่นัดกันแต่งตัวเข้าธีมแต่คนนึงดันลืมอ่านไลน์กลุ่มว่า สรุปเอาธีมไหนกันแน่

ตู้น้ำผึ้งดูเหงาหน่อย ๆ ไม่เข้าพวก แต่ก็ไม่ได้เด่นออกมาขนาดนั้น

ทำไมเอาไปตั้งตรงนั้นนะ ไม่ค่อยมีคนสนใจเลยอะ
มีแต่คนเดินผ่าน ไปไหว้พระบ้าง หย่อนเงินลงตู้บริจาคบ้าง ดังโก๊งเก๊ง ๆ
แต่ไม่มีคนเหลียวมองเลย แค่หางตาก็ไม่มี

ขอสารภาพว่าก่อนเข้าไปในวิหาร แอบได้ยินคนที่เพิ่งออกมาพูดว่า ‘เอาไปไว้ที่อื่นก็ได้ ทำไมต้องมาไว้ในวัด’

พอได้เข้ามานั่งดูตู้ และอ่านฉลากบนขวด บนพื้นหินอ่อนเย็น ๆ ในวิหารเงียบ ๆ เสียงเดียวที่ก้องอยู่ในหัวเลยเป็นคำถามนี้

เออ นั่นน่ะสิ

ทำไมจะต้องเอามาตั้งไว้ในวิหารของวัดแบบนี้ (นอกเหนือจากข้อจำกัดในทางเทคนิค) ถ้าเขาเอาไปตั้งที่อื่นล่ะ มันจะ effective กว่านี้มั้ย ทำไมน้ำผึ้งในโหลนั้นมีไม่เท่ากัน แล้วคนที่มาดูจะเข้าใจงานนี้มากน้อยแค่ไหนกันนะ

เรารู้สึกว่ามันดูเรียบง่าย เป็นงานแนว Conceptual โดยแท้ คนทั่วไปที่เข้าไปไหว้พระในวิหารเฉย ๆ เขาคงจะไม่สนใจ หรือมองข้ามไปเลยแน่ ๆ

แต่เขาจะต้องมาสนใจงานศิลปะ ที่เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนทำไมล่ะ มาไหว้พระ ขอพร เสี่ยงโชคอะเนอะ
แถมวันนี้ก็มีลมโกรก เย็นสบายจะตายไป

ความเรียบง่ายของงาน เหมือนจะเป็น achilles heels (จุดอ่อน) ของงานศิลปะสไตล์ abstract ในประเทศไทย ที่ความสนใจลึกซึ้งทางด้านศิลปะไม่ค่อยจะกว้างขวาง

ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อศิลปะนั้น ต้องสละสลวย มีสีสัน จัดตั้งแสดงชัดเจน มีเส้นกั้น กระจกกั้นล้อมรอบเป็นของมีค่า มีราคา เป็นอะไรที่มองปุ๊บ มันตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า นี่งานศิลปะนะจ้ะ ฉันอยู่นี่จ้า

ตัดภาพมาที่งานของแอนา เป็นตู้ง่าย ๆ ที่กระซิบเบา ๆ มากกว่า ว่า ใช่ ฉันเป็นงานศิลปะ ฉันกำลังพูดถึงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมนะ

ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคนดูที่เพิ่งเริ่มสนใจงานศิลปะ หรือแค่มาเก็บแต้มเพราะ #BAB2020 คงคิดว่า มันใช่หรอ มันใช่งานศิลปะรึเปล่า ทำไมถึงทำแค่นี้ เอามาไว้ทำไมตรงนี้ ในวัดเนี่ยนะ

ขนาดหลวงพี่ที่จำวัดยังพูดเลย

‘ดูไม่เหมือนเป็นงานศิลปะเลยนะ ถ้าไม่ได้อ่านป้ายก่อนเข้ามา’
‘ตอนแรกอาตมาคิดว่ามีโยมเอามาถวาย’

‘I love that actually…I did gave that to the temple’

ถึงแอนาจะชอบที่หลวงพี่พูดแบบนั้นก็เถอะ
ก็เพราะมันเรียบซะจนเป็นกลมกลืนเป็น Everyday object ไปเลยไงล่ะ

ดู ๆ ไป

ตู้นี้ก็เหมือนตู้เก็บตัวอย่างในห้องแล็บได้นะ แบบตู้เก็บพันธุกรรม เพื่ออนาคตเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปมาก นักวิทยาศาสตร์จะสามารถนำตัวอย่างนี้มา เพื่อกำเนิดมันขึ้นมาใหม่ได้ แบบในหนัง Jurassic Park

ผู้คนดูจะไม่สนใจงานนี้เท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เข้ามานั่งคุยกับทางทีมงาน BAB ในวิหาร นอกจากทีมไรซ์ที่มาเก็บภาพบรรยากาศแล้ว ก็มีแค่น้องนักศึกษาสองคนเท่านั้น ที่เข้ามานั่งดูงานของแอนา นอกนั้นก็เป็นคนที่เข้ามาไหว้พระ ตักน้ำมนต์

อาจจะเพราะวันนี้เป็นช่วงบ่าย แดดส่อง ฟ้าใสไร้เมฆ ลมโกรกในหน้าหนาว ของวันธรรมดาต้นอาทิตย์ ซึ่งไม่ใช่เวลาที่คนส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการมาเดินดูงานศิลป์ตามวัด ก็มีงานต้องทำ มีวิชาต้องเรียนกันอะ ถ้ามาก็คงไม่ใช่เพราะว่าอยากจะมาดูงานศิลปะ แต่คงจะเป็นมาทำบุญถวายสังฆทานวันเกิด เพื่อเก็บแต้มบุญไว้สำหรับชาติหน้า จะได้มีกินมีใช้สบาย ๆ

ระหว่างที่นั่งดูงานในวิหารแดดส่องเข้าหน้าต่าง สีน้ำผึ้งในตู้เปล่งประกายเหมือนอัญมณีล้ำค่า กับเสียงเซียมซี แกรก ๆ ก่อนตกกระทบพื้น รอทีมเก็บภาพ หน้าตาของงานยังคงสะดุดใจเราอยู่

ด้วยแนวคิดที่ว่า ตู้เซฟเป็นสัญญะของการเก็บสิ่งสำคัญที่มีค่าต่อโลกนี้ ซึ่งสำหรับแอนาคือ ‘น้ำผึ้ง’ การสรรหาจึงเป็นการส่งจดหมายขอรับน้ำผึ้ง ซึ่งได้ร่วมมือกับหลายฝ่ายอย่าง Bee Learning Centre และสมาคมผู้เลี้ยงผึ้งแห่งประเทศไทย กับลักษณะตู้ที่ได้รับแรงบรรดาลใจจากรูปแบบที่หลากหลายของตู้บริจาคข้างเคียงในวัด ก็ไขข้อสงสัยเรื่องหน้าตาของตู้ได้

และการที่ชิ้นงานได้มาอยู่ในวัดประยูรฯ นั้นสร้างเลเยอร์ความหมายให้งานอีกล้นเลยนะ

สัญญะของการฝาก และเก็บรักษาน้ำผึ้ง นั้นทับซ้อนกับความเชื่อเรื่องชีวิตใหม่หลังจากความตาย ความศรัทธาในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจของคนไทย คนจึงมักเข้าวัดไปทำบุญ ขอพร เพื่อฝากความหวังวันนี้ ไว้ที่อนาคตที่ยังมาไม่ถึง

ในขณะที่ผึ้งที่ผลิตน้ำผึ้งในโหลพวกนั้น กำลังจะหายไปในวันข้างหน้าเพราะภาวะอากาศที่แปรปรวน ตั้งอยู่โดยไม่มีคนสนใจ เงียบ ๆ ข้าง ๆ คนที่มากราบไหว้พระขอพร ฟังแต่บทสวดมนต์ของหลวงพี่ต่อไป

มันเหมือนตัวงานพยายามกระซิบบอกให้คนที่เข้ามาในวิหารเกิดความรู้สึกระลึกถึง การสูญพันธ์ุของผึ้งที่อยู่ใกล้ตัวเรา แต่ก็เหมือนกับว่าเรื่องนี้มันเหินห่างจากตัวคนที่เวียนเข้ามาเหลือเกิน

ปกติความไม่เข้าใจ หรือไม่สนใจงานนั้น น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นมาตรวัดว่างานนั้น effective แค่ไหน
แต่ไม่ใช่กับแอนา

‘I’m completely comfortable with that. What makes me happy is that…I developed relationships…’

ถ้าคนอ่านเกี่ยวกับงานของแอนาแล้ว ได้รับแรงบรรดาลใจ หรือรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องช่วยโลกของเรา
เพื่อที่ลูกหลานของเราจะได้ไม่ต้องไปเข้าวัด ขอชิมน้ำผึ้งดอกลำไยสักหนึ่งช้อน แอนาก็ยินดี

เพราะสำหรับแอนาในฐานะศิลปิน การที่งานของเขานั้นได้สร้างสายสัมพันธ์ใหม่ระหว่างแอนา ทีมภัณฑารักษ์ของ BAB กับกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้ง หรือกระทั่งหลวงพี่ที่วัด นั้นยืนยาวกว่าการจัดแสดงงานมาก การที่งานนั้นได้เชื่อมต่อคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า และสานต่อการอนุรักษ์ผึ้งไว้ได้นั้นก็ถือว่า งานชิ้นนี้สำเร็จแล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราคิดว่าถ้าไม่มีเวลาก็ไม่ต้องไปดูก็ได้นะ (ดูภาพสวย ๆ จากเพจไรซ์แทนก่อนได้) เพราะ ‘สาระ’ ไม่ใช่สสารของตัวงานในวัด แต่เป็น ‘สาร’ ที่ตัวงานสื่อออกไปสู่สาธารณะมากกว่า

เพราะงานแนว Conceptual เป็นงานศิลปะ ที่เน้นไปที่แนวความคิด เน้นแก่น ไม่ใช่ความสวยงาม วัตถุ-วัสดุ ที่อยู่ในงานศิลปะชิ้นนั้น ๆ จึงไม่ได้ทำหน้าที่สิ่งสวยงามเป็นหลัก แต่เป็นตัวแทนแก่นความคิดนั้น ๆ เท่านั้น ความสุนทรีย์ทางภาพนั้นเป็นแค่ของแถม

และหน้าที่ของศิลปินก็เป็นเพียงผู้นำเสนอแนวคิด ไม่จำเป็นจะต้องบอกชัด อย่างที่แอนาเคยบอกกับเรา

‘I’m an Artist not an educator… a politician or a scientist so I wanted to make something a little more poetic…which is a little bit more abstract.’

‘ฉันเป็นศิลปิน ไม่ใช่ผู้ให้ความรู้…ไม่ใช่นักการเมือง หรือนักวิทยาศาสตร์ ดังนั้นอะไรที่ฉันสร้างจะมีความสุนทรีย์อยู่ ซึ่งจะดูเป็นนามธรรมมากกว่า’

ตามนั้นนะ

Loading next article...