คนผีเข้า

“คือร่างกายมันหวิว ๆ มันรู้สึกหนาว ๆ แล้วเราคุมตัวเองไม่อยู่เลย แม้แต่จะพูดอะไรก็ยังคุมตัวเองไม่ได้ มันเหมือนมีอีกคนเข้ามาบังคับร่างกายเรา”
หญิงในภาพเล่าให้เราฟังหลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายลง
ไม่น่าเชื่อว่าในวันหนึ่งคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างเราจะได้เข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ (เชื่อว่า) “ผีเข้า” ท่ามกลางเสียงฝนตกปรอย ๆ ภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในฝั่งไทยที่อยู่ไม่ไกลจากประเทศกัมพูชามากนัก
ในฐานะเด็กที่อยู่ในเมือง เราเฝ้ามองดูเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยความสงสัยปนตื่นตาตื่นใจ ด้วยนิสัยพยายามจะหาคำตอบให้กับทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่เราคิด

ถ้าถามว่ากลัวผีมั้ย ก็คงตอบว่าไม่กลัว ไม่กลัวจนถึงขั้นจะให้ไปเดินในบ้านผีก็ได้ (เคยทำมาหลายครั้งแล้ว)

แต่การเห็นคนที่เชื่อว่าผีเข้าต่อหน้าต่อตา กลับทำให้ผมรู้สึกโดนโน้มน้าวอย่างแปลก ๆ ว่าหรือที่ผ่านมาเราจะคิดผิด หรือว่ามันยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้หรือเคยเห็น หรือมีโลกอะไรที่ทับซ้อนอยู่กับโลกมนุษย์หรือเปล่า

จำได้ว่าผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ (ตามคำเชิญของหมอปลา) ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะว่ากำลังจะได้ร่วมสังเกตการณ์สิ่งที่ผมสงสัยมาตั้งแต่เด็ก ว่ามันจริงหรือไม่จริงยังไง

ท่ามกลางเสียงฝนตกและเสียงพูดคุยของไทยมุง มีเสียงกรีดร้องโวยวายดังแทรกออกมาจากบ้านหลังหนึ่งเป็นระยะ ๆ ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเป็นตากล้องเบื้องหลังในกองถ่ายหนังผี ที่หลังจากผู้กำกับสั่งแอคชั่นผมก็ถือวิสาสะพุ่งตัดหน้ากล้องหลักเข้าไปเก็บภาพโดยไม่สนใจว่าจะต้องถ่ายต่ออีกกี่เทค

“เนี่ย พอเค้ารู้ว่าหมอปลาจะมาก็อาการหนักเลย”

คนในบ้านนั้นบอกเล่าให้ผมฟังก่อนผมจะรีบถ่ายภาพแล้วรีบออกมาจากตัวบ้านเนื่องจากดูท่าจะไม่ดีแล้วเพราะผมนี่แหละที่เป็นคนเอาข่าวว่าหมอปลาใกล้ถึงแล้วมาบอก

พอหมอปลามาถึง สีหน้าของชาวบ้าน โดยเฉพาะญาติ ๆ ของหญิงที่(เชื่อว่า)ถูกผีเข้าก็ดีขึ้น มีความหวังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็ตื่นเต้นถึงขั้นเอามือถือมาถ่ายวีดีโอหรือว่าไลฟ์ลงเฟซบุ๊ก

แต่ในมุมของคนที่ไม่ได้เชื่อเรื่องผีสางนางไม้เลย พอมาเจอคนรุมหามคนผีเข้าออกมาจากบ้านมันทำให้รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกันนะ คือคนโดนหามเค้าดูขัดขืนจริง ๆ แล้วทุกคนก็ดูฉุดกระชากลากถูจริง ๆ

และแน่นอนว่าผมก็อดไม่ได้ที่จะจ้องจับผิดเหตุการณ์ตรงหน้า

ทันทีที่หมอปลามาถึงชาวบ้านก็เข้ามามุงจนหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งหมอปลาก็ยังคงง่วนอยู่กับการทำพิธีต่าง ๆ ที่มีทั้งดอกไม้ ธูป เทียน สายสิญจน์
มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมที่มักจะใช้ชีวิตอยู่ในเมือง วัน ๆ อยู่แต่กับรถไฟฟ้าจนแทบไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้เลย

ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นได้อีกครั้ง หลังจากลืมไปชั่วคราวว่าโลกใบนี้มี
ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเชื่อ ทับซ้อนกันอยู่หลายชั้น

คงเพราะมีโควิดทำให้หลายเดือนก่อนหน้านี้เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรุงเทพฯ

พี่เค้าดูทรมานมากเลย ตอนที่มีคนเอาพระไปคล้องคอให้

เห็นเค้าว่าผีจะร้อนเวลาเข้าวัด คิดว่าเอาพระมาคล้องก็คงจะรู้สึกร้อน ๆ เหมือนกัน ถ้าผีมีจริงอะนะ

อันนี้ก็ยังไม่แน่ใจนะ แต่อาจจะเป็นเพราะสื่อ เพราะละครด้วยหรือเปล่า ที่ชอบใส่สเปเชียลเอฟเฟกต์เป็นผีโดนไฟเผาเวลาโดนสร้อยพระ ก็แอบไม่เข้าใจนะ เพราะปกติผีจะเดินทะลุนู่นนี่ได้ แต่พอเป็นสร้อยพระกลับไม่ทะลุ

“ซึ่งผมพยายามอธิบายไปแล้วว่า ไสยศาสตร์พวกนี้มันไม่มีจริงหรอก เอาง่าย ๆ เลย ถ้าอย่างเรื่องไสยศาสตร์ ทำใส่คนให้ตายได้เนี่ย ผมคิดว่า นายกรัฐมนตรีประเทศไทยแต่ละยุคอะ คงจะตายห่าหมดแล้วล่ะ

คือเราพยายามอธิบายโดยหลักของเหตุผล ก็เหมือนอย่างเช่น เราเอาศาลพระภูมิออกเนี่ย เราเอาออกเฉย ๆ เค้าก็คิดว่ามันไม่ขลัง เราก็ต้องทำน้ำมนต์เอาเป็นกุศโลบาย ทำน้ำมนต์พรมให้เค้าสบายใจ มันมีแค่นี้แหละครับ”

หมอปลาเล่าให้ผมฟังในวันรุ่งขึ้นหลังจากเพิ่งช่วยไล่ผีไปหมาด ๆ
อืม…ถ้างั้นหมอปลาเค้าก็คิดเหมือนผมสินะ

ในระหว่างที่หมอปลากำลังทำพิธีกับผู้หญิงคนก่อนหน้า ผู้หญิงคนนี้ก็ร้องลั่นขึ้นมา เหมือนว่าจะผีเข้าอีกคน
ซึ่งก็ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า ผีจะเข้าแค่สองคนนี้

ทำเอาผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ผีมีเกณฑ์การเลือกเข้าสิงคนยังไง? ทำไมถึงต้องเป็นสองคนนี้?

เคยมีคนที่เชื่อเรื่องผีเล่าให้ผมว่าผีจะเข้าแค่คนที่เชื่อ หรือว่าจิตอ่อน ก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอาการที่เรียกว่า “ผีเข้า” จะเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่งหรือเปล่า เช่น เมื่อใครบางคนเสียใจมาก จนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ก็อาจจะแสดงอาการแบบนี้ออกมาได้เหมือนกัน แต่เมื่ออาการแบบนี้ถูก “ความเชื่อท้องถิ่น” ครอบเอาไว้อีกทีหนึ่ง ก็จะกลายเป็นว่า “ผีเข้า”

“พวกมึงอย่าเผลอนะ กูจะมาเอามันไป”

ผู้หญิงคนนี้ตะโกนออกมาดังลั่นก่อนจะเงียบไป และเป็นประโยคที่ดังฟังชัดที่สุดจากทุกประโยคที่สบถออกมา

แต่พอมาได้อยู่ในเหตุการณ์แล้วได้ยินประโยคด้านบน ก็ทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งกับความเชื่อตัวเองเหลือเกิน เพราะใครที่ไหนจะตะโกนบอกคนอื่นปาว ๆ ว่า อย่าเผลอนะ จะมาเอามัน(ตัวเอง) ไปอยู่ด้วย

ผู้หญิงคนนี้สงบลงหลังจากหมอปลานำมีดหมอมากดตรงหน้าผากแล้วท่องคาถาอะไรขมุบขมิบอยู่คนเดียว
ซึ่งตอนหลังหมอปลาเล่าให้ฟังทีหลังก็ถึงได้รู้ว่าหมอปลาท่องแค่ “นะโมตัสสะ” เฉย ๆ

“ไอ้พวกคาถงคาถา เราก็บอกท่องนะโมตัสสะ ก็คือเหมือนเป็นคำที่มันเป็นมงคลอยู่แล้วใช่มะ ก็บอกละ มันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกไสยศาสตร์ เราทำให้เค้าสบายใจอีกอย่างหนึ่ง

หลายคนมีความเชื่อว่า หมอ ที่มีชื่อเสียง สามารถทำให้เค้าหายได้ เค้าเชื่อแบบนี้ไง ทั้ง ๆ ที่ปัญหาที่เค้าเกิดขึ้น มันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ เรื่องผิดธรรมชาติ มันเกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่เค้าเชื่อ ในตัวตนที่เราเป็นอยู่ไง

เราช่วยเหลือคนที่เค้ามีความทุกข์ ที่วิทยาศาสตร์หาทางออกให้เค้าไม่ได้ คือ ทุกเคสที่เราช่วยเนี่ย เราต้องถามก่อน ไปหมอโรงบาลมายัง เราจะต้องให้เค้าเนี่ยสิ้นสุดจากวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่เฉย ๆ เอามาหาเรา ไม่ใช่”

เอาเข้าจริง ๆ ก็แอบโล่งใจนะที่หมอปลาคิดอะไรคล้าย ๆ กับผม เพราะไม่อย่างนั้นเหตุการณ์ที่ผมได้เจอ ก็คงจะเป็นเรื่องคาใจไปอีกนาน 

อาาาา…ทั้งหมดเป็นเพราะเก็บเสาตกน้ำมันไว้ในบ้านสินะ (ได้ยินชาวบ้านเค้าซุบซิบกัน)
หลังจากนั้นไม่นาน หมอปลาก็ให้ชาวบ้านบางส่วนช่วยกันเอาเสาต้นนี้ไปไว้ในเขตวัด

แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าเสาต้นนี้ตกน้ำมันจริงหรือเปล่า เพราะว่าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง 

ไม่นานนักอยู่ดี ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็รำออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนแถวนั้น (รวมทั้งผม) สนใจและตกใจกันเป็นแถบ

“ปล่อยให้รำไป ไม่ต้องไปห้าม!”
เสียงหมอปลาตะโกนมาจากอีกฝั่ง เพราะกำลังง่วนอยู่กับอุปกรณ์ไล่ผีหลากชนิด 

ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกใจนะที่พอหมอปลาเดินมาท่องคาถา ผู้หญิงคนนี้ก็หยุดรำเลย
แต่ว่าพอได้คุยกับหมอปลาทีหลัง ก็ทำให้แปลกใจยิ่งกว่า ตรงที่หมอปลาบอกว่าท่องแค่ “นะโมตัสสะ” 
“กูไม่กิน มึงอยากกินมึงก็กินเองสิ!”
ผู้หญิงตะโกนออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะพ่นน้ำมนต์ที่มีคนพยายามจะกรอกปากออกมา เพราะไม่อยากดื่ม หลังจากนั้นไม่นานหมอปลาจึงเอาน้ำมนต์มาราด

น้ำมนต์ที่พ่นออกมา กระจายมาโดนผมด้วย ตอนนั้นเริ่มหวั่น ๆ แล้วแหละ ไม่ใช่เพราะกลัวในอาคมมนต์มืดหรือผีสางแต่อย่างใด แต่เพราะไม่รู้ว่าเค้าเป็นโควิดหรือเปล่า 

“คือร่างกายมันหวิว ๆ มันรู้สึกหนาว ๆ แล้วเราคุมตัวเองไม่อยู่เลย เราบังคับแขนขาเราให้ขยับตามใจไม่ได้ แม้แต่จะพูดอะไรก็ยังคุมตัวเองไม่ได้ คือมันเหมือนมีอีกคนเข้ามาบังคับร่างกายเรา แต่ตอนนี้ก็โอเคขึ้นเยอะแล้ว”

หญิงในภาพเล่าให้ผมฟังหลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายลง
ถึงแม้ว่าต่างคนจะต่างความเชื่อ แต่ถ้าตอนนี้ทุกอย่างกำลังดีขึ้น คนที่กำลังทุกข์ได้รับการเยียวยาแล้ว นั่นก็คือดีที่สุดแล้ว เพราะผมคงไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่ายความเชื่อของใคร 

ถ้าเราคิดว่านี่คือการแสดง นี่ก็คงจะเป็นการแสดงที่เเนบเนียนและเหมือนจริงที่สุด

จนถึงตอนนี้ก็ยังตัดใจเชื่อไม่ได้นะว่าผีมีจริงหรือเปล่า เพราะทุกครั้งที่ผมเจออะไรแปลก ๆ ผมมักจะหาข้อมูลหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาแย้งอยู่เสมอ ๆ ซึ่งมันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถตอบคำถามของสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่ เพราะเอาเข้าจริง ๆ แม้แต่คนไล่เอง เค้าก็ยังไม่เชื่อเลย

แต่คิดไปคิดมาก็อยากลองโดนผีเข้าดูซักทีเหมือนกันนะ จะได้รู้ไปเลยว่ามันจริงหรือไม่จริง…เอาไว้ถ้าผมโดนผีเข้า ผมจะมาเขียนเล่าให้ทุกคนอ่านนะครับ 

Loading next article...