Post Study Abroad Depression: เมื่อบ้านกลายเป็นสถานที่แปลกหน้า

ไม่ว่าชีวิตการเรียนต่างประเทศมันจะสนุกขนาดไหน แต่ทุกอย่างมันก็มีสองด้านเสมอ เราเชื่อว่านักเรียนที่เคยไปจะมีจุดหนึ่งที่เราต้องมาถามตัวเองว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่วะ กระเสือกกระสนข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนอยู่ในถิ่นแปลกหน้า ทิ้งเพื่อนทิ้งสังคมทั้งหมดที่มีมา เพื่อมาเรียนอะไรยากๆ อยู่ที่นั่น แถมอากาศก็หนาว ฝนตกปรอยๆ โดยเฉพาะในบางฤดูที่ต้องตื่นขึ้นมาเจอกับพระอาทิตย์ตกและความมืดที่ยาวนาน ยิ่งทำให้คิดถึงบ้านจับใจ

Image Credit: Alex Ivashenko

หลังจากเราปรับตัวได้กับประเทศใหม่ได้ ความทรมานทั้งหลายก็เริ่มถดหายไปทีละอย่าง เรามีเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ มีวิชาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายให้ได้พบเจอ เวลาผ่านไปเหมือนติดปีก เผลอแป๊บเดียวก็เรียนจบ แล้วเราก็แพคกระเป๋ากลับบ้านอย่างสบายอุรา แต่ไม่ทันที่รอยยิ้มจากความปลื้มใจในความสำเร็จจะเลือนไปจากหน้า ลมร้อนของอากาศ 38 องศาในยามบ่ายก็เริ่มปะทะหน้าพร้อมกับความจริงของชีวิตมากมาย ทุกครั้งที่ยืนรอรถไฟฟ้าเกิน 5 นาที เราจะเริ่มคิดถึงรถใต้ดินที่มาทุก 1 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน ทุกครั้งที่เดินถนน เราจะเริ่มคิดถึงทางเท้ามั่นคงแข็งแรงที่ไม่ต้องคอยลุ้นว่าแผ่นคอนกรีตจะพลิกขึ้นมาทำน้ำกระฉอกใส่เท้าหรือเปล่า ที่สำคัญคือเมื่อเราอยากออกไปไหนก็ต้องคอยรายงานพ่อแม่ว่าจะออกไปกับใคร และกลับบ้านเมื่อไหร่ ในขณะที่เมื่อไม่นานมานี้เราจะไปหัวหกก้นขวิดที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ก่อนจะพบว่าสุดท้ายแล้ว ‘บ้าน’ ที่เราเคยคิดถึงเหลือเกินนั้นได้กลายเป็นสถานที่แปลกหน้าไปซะแล้ว

ฉันเคยเจอกับอาการดังกล่าวเมื่อกลับจากไปเรียนต่างแดนมาหลายปี เมื่อลองค้นคว้าข้อมูลดูก็พบว่าความรู้สึกที่กลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านของเราเองนั้นไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นอาการที่เรียกว่า ‘Reverse Culture Shock’ คือเมื่อเราได้ถูกเปลี่ยนแปลงและหล่อหลอมโดยวัฒนธรรมที่แตกต่าง ก็เหมือนกับการเปลี่ยนเลนส์สายตาใหม่ที่ทำให้เราไม่สามารถมองโลกแบบเดิมอีกต่อไป

Image Credit: Hanny Naibaho
น่าแปลกใจว่าเรากลับรู้สึกแปลกแยกกับวิถีชิวิตแบบเดิมทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ของใหม่สำหรับเราแต่อย่างใด บางครั้งมันอาจเลยเถิดจนเกิดเป็นอาการ Post Study Abroad Depression หรือโรคซึมเศร้าหลังจากการศึกษาต่อในต่างประเทศ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นอาการ ‘คิดถึงบ้าน’ ในประเทศที่จากมา อาการ reverse culture shock คืออาการเมื่อเราไปอยู่ต่างประเทศนานๆ ซึมซับวัฒนธรรมใหม่ๆ แต่กลับมาประเทศบ้านเกิด แล้วดันรู้สึกอึดอัด ปรับตัวไม่ได้กับวัฒนธรรมเดิมของตนทำให้เกิดความเครียดหรือซึมเศร้าได้ ซึ่งอาจจะฟังดูกระแดะนิดหน่อยหรือมากสำหรับบางคนที่คิดว่า ‘แกได้ไปเรียนเมืองนอกก็บุญแค่ไหนแล้ว นี่ก็แค่กลับบ้านจะอะไรกันนักกันหนา’ แต่มันมีอยู่จริง โดยที่ความรุนแรงของอาการนั้นจะแสดงออกมามากหรือน้อยแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล จากประสบการณ์ที่เจอมา สิ่งที่พอทำได้แบบขายผ้าเอาหน้ารอด ก่อนคิดค้นวิธีแก้ปัญหาและพัฒนาชาติของเราได้คือ:

บ่น
ใครๆ ก็พูดว่าการบ่นนั้นเป็นพิษต่อคนบ่น และผู้ฟัง ไม่แก้ปัญหาอะไร และยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่ไปใหญ่ในท้ายที่สุด แต่ปฏิเสธได้เหรอว่าการที่มีคนรับฟังเราและเห็นใจกับปัญหาของเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ มันเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกดี อย่างน้อยก็เหมือนกินยาแก้ปวดให้หายไปพักหนึ่ง มีคนแนะให้เราบ่นให้น้อยลง และอย่าใส่อารมณ์ร่วมเยอะ และค่อยๆพิจารณาดู เมื่อระบุที่มาของปัญหาได้ เราก็จะได้หาวิธีรับมือได้เช่นกัน

 

แก้ปัญหาเท่าที่เราแก้ได้ไปก่อน

เราคงเปลี่ยนฟุตบาต รถติด และรถไฟฟ้าไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ แต่เราปรับชีวิตตัวเองได้นิดๆ หน่อยๆ มันอาจจะฟังดูน่าเบื่อและเศร้าหนักกว่าเดิมที่ต้องมายอมรับอะไรแบบนี้ แต่เนื่องจากเราเปลี่ยนมันไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้เราอาจจะพอมีหวังในการรอดชีวิตมากกว่า เช่นการหาแรงบันดาลใจและความรื่นรมย์เล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะทำได้ระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน อาจจะฟังดูโลกสวย แต่กลิ่นหอมๆ ของดอกลาเวนเดอร์อาจจะทำให้เราเดินผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก และเมื่อเวลาผ่านไปเราอาจจะได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดีก็ได้ ใครจะรู้ !

Image Credit: Filip Mroz
เจ็บและชินไปเอง

เมื่ออยู่ๆ ไปสักพัก เราก็จะเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้แบบแฮบบิชูเอชัน (Habituation) หรือพูดง่ายๆ ว่าความเคยชินนั่นแหละ ยื่งเราเจอเหตุการณ์ซ้ำๆ มากเท่าไหร่เราก็ยิ่งชินเร็วเท่านั้น

 

หนีบ้าง

แน่นอนว่าบางคนอาจจะคิดอยากกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง แต่สำหรับบางคนอาจจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เราอาจจะพอทดแทนได้คือการสร้างเป้าหมายว่าจะทำอะไรเพื่อทดแทนความรู้สึกของการไม่มีวันได้กลับไปแล้ว อาจจะเป็นทริปไปเยือนประเทศนั้นๆ เมื่อเราคิดถึง หรือการไปเที่ยวประเทศอื่นๆ หรือต่างจังหวัดบ้างเพื่อหลีกหนีสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เรายิ่งเครียด แต่อย่าลืมว่าเราหนีไม่ได้ตลอดไปนะ

 

พบแพทย์

จากที่พูดคุยกับเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายๆ ท่านคนที่มีครอบครัวที่เข้มงวดจะมีอาการมากกว่ามาก เพราะจะรู้สึกอึดอัดและขาดอิสรภาพ คล้ายกับตัวเองต้องถอยหลังกลับไปเป็นเด็กที่ต้องถูกคุมความประพฤติ ซึ่งจากที่เคยไปพบแพทย์ตอนที่มีอาการ Adjustment Disorder หรือ ภาวะการปรับตัวผิดปรกติ หมอบอกว่าถ้าเรารู้สึกว่ามันรบกวน ชีวิตประจำวันของเราจนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็มาปรึกษาหมอได้ ไม่เสียหายอะไรเลย

Image Credit: Himanshu Singh Gurjar
ทั้งหมดที่เขียนไปข้างต้น คือวิธีที่ผู้เขียนใช้เอาตัวรอดตอนกลับมาจากการเรียนต่างประเทศ 5 ปี และต้องพบกับอาการนี้แบบเบาๆ เคยถึงกับร้องไห้บนรถเพราะรถติดนานมากและหิวจนปวดท้อง ติดจนรู้สึกว่าทำไมเราต้องมาทนกับอะไรแบบนี้ในประเทศที่ควรจะเจริญได้แล้ว สิ่งที่พอจะบรรเทาความอึดอัดคับข้องใจได้บ้างคือการ ‘ร่วมครุ่นคิด’ และ ‘ร่วมพิเคราะห์’ กับเพื่อนที่มีปัญหาเดียวกัน ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้างเหมือนฟังจส. 100 ตอนรถติด เพราะทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เจอปัญหานี้อยู่คนเดียว (มันติดกันทั้งเมืองเลยโว้ย) ซึ่งทำให้เราอดทนแก้ปัญหาด้วยการเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วนให้ได้มากทีสุด ที่ไหนติดเราไม่ขับรถ ใช้มอเตอร์ไซค์ และพอไปเรื่อยๆ เราก็เจ็บและชินไปเอง แต่ถึงกับชินก็ยังทำใจให้ชากับบางเรื่องไม่ได้สักที การหนีไปเที่ยวที่อื่น ไปต่างประเทศบ้าง เป็นความชุ่มชื่นหัวใจที่มานานๆ ครั้ง แต่ช่วยทำให้เรามีเป้าหมาย และเป็นการให้รางวัลตัวเองไปด้วยในตัว ยังโชคดีที่ครอบครัวของผู้เขียนไม่ได้ลิดรอดอิสรภาพของผู้เขียนแต่อย่างใน แต่ถึงอย่างนั้น บ่อยครั้งที่นั่งอยู่ในรถที่ติดยาว รถไฟฟ้าที่แน่นขนัด หรือเดินกลางแดดร้อน ก็ยังเผลอใจล่องลอยกลับไปยังบ้านอีกหลัง และช่วงเวลาอันหอมหวานในวันวานไม่ได้เลย
Loading next article...